God Loves you Personally and Individually
“For the Son of Man came to save that which was lost. “What do you think? If a man has one hundred sheep, and one of them goes astray, doesn’t he leave the ninety-nine, go to the mountains, and seek that which has gone astray? If he finds it, most certainly I tell you, he rejoices over it more than over the ninety-nine which have not gone astray. Even so it is not the will of your Father who is in heaven that one of these little ones should perish.” (Matthew 18:11-14 WEB)
Some people may ask, “Why hasn’t Jesus returned yet? There are already so many Christians to keep God company in Heaven. Why can’t He just come back now?”
Well, Abba God can ask Jesus to return for us anytime, but He is not doing it yet because “Martha” is not yet saved. “Samantha” is not yet saved. “John” is not yet saved. They just need a bit more time and more opportunities to hear the Gospel at the right time in their lives.
If Jesus returns now and the Tribulation begins, God knows these people will be lost because it will be too tough and they will receive the Mark of the Beast.
The names I mentioned are just hypothetical. God has a personal love for each of us. He has a calling designed for each individual. He is not just about getting a large harvest of souls for His kingdom. God does not want any of His beloved ones to perish and go to Hell.
In the parable above, we see God’s heart for us. Even though He already has ninety nine sheep, He is not satisfied when there is one sheep that is lost. He actively seeks out the lost one and rejoices when He saves it.
There is always going to be one more lost sheep that needs saving. Therefore, Abba God keeps delaying Jesus’ return because He wants to save those He loves, whom He foreknows will place their faith in His Son with enough ‘wooing’.
“No one can come to me unless the Father who sent me draws him, and I will raise him up in the last day.” (John 6:44 WEB)
Eventually, there is going to be an appointed time for Jesus’ return and for the Tribulation to begin. We are seeing many signs of the end times, where the infrastructure of the Antichrist regime can be easily implemented.
One strain of virus could cripple the world and cause people to accept drastic measures out of fear—invasive ways to monitor and track people using the virus as a justification. Imagine how easy it would be for the Antichrist regime to begin once all Christians on earth are taken to be with the Lord in Heaven?
In this time of darkness, we need God’s glorious light to shine out from us as brightly as possible. We need the power of God to confirm the Gospel of Jesus Christ that we preach. Time is short, so ask the Lord to fill you with more wisdom, power, provision to take the Gospel further and faster!
At the following link, you will find a resource to help you understand every parable and miracle of Jesus Christ in the Four Gospels. It is going for 50% off only until 11/11: http://bit.ly/understandeveryparable
「for those we have lost for those we can yet save」的推薦目錄:
for those we have lost for those we can yet save 在 Taepoppuri Facebook 的最佳解答
แด่เจ้า เพื่อนที่รักยิ่ง
เจ้าผู้ชี้นำเหล่าดวงดาวหลงทางเสมอมา
แม้ในตอนนี้ ที่โลกแตกออกเป็นเสี่ยง และเราถูกแยกจากกันยิ่งกว่าคราใด ทั้งเวลา จุดยืน ความรู้สึก
ขอเพียงแค่ส่งสัญญาณเดียว คำๆเดียว เพื่อรวมใจเราอีกครั้ง
เพราะที่ของเจ้า คือลำดับที่สิบสี่
ตำแหน่งแห่ง ‘อาเซ็ม’
- เฮดีส
.
.
ประเด็นเนื้อเรื่อง 5.3 วันนี้ เริ่มที่พระเอกหรือนางเอกของแต่ละคน ซึ่งก็คือ WoL นั่นเอง ตัวตนในอดีตสมัยอามูรอทของนักรบแห่งแสงนั้นไม่ใช่ไก่กา ใบ้ให้ระแคะระคายมาตั้งแต่ 5.0 และก็เปิดเผยชื่อ ‘อาเซ็ม’ ใน 5.3 นอกจากนี้ WoL ยังได้รับวัตถุชิ้นสำคัญที่จะเป็นส่วนสำคัญของเนื้อเรื่องต่อไป คือคริสตัลแห่งอาเซ็ม
.
เป็นคริสตัลพิเศษในกลุ่มคริสตัลทั้งสิบสี่ชิ้นของกลุ่มผู้นำ หินสีส้มสดใส สลักสัญลักษณ์ของ ‘พระอาทิตย์’ ความต่างจากคริสตัลชิ้นอื่นคือไม่มีความทรงจำบันทึกอยู่ แต่ทำหน้าที่เป็นหินที่ระลึก (memento) และมีข้อความของเอเม็ทฝากเอาไว้พร้อมบรรจุความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของตำแหน่งอาเซ็ม
.
ใน 5.3 มีบทพูดเกี่ยวกับอาเซ็มอยู่สองฉาก โดยอดีตเพื่อนสนิทสองคน มาดูของไฮโธลเดอุสกันก่อน ต่อจากบทความที่แล้ว หลังจากที่เราอธิบายเหตุการณ์ให้เขาฟังว่ากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับอิลิดิบัส…
facebook.com/taepoppuri/photos/a.1394794957266616/3394782810601144
.
.
.
‘ครั้งนี้เจ้ามีเรื่องขัดแย้งกับอิลิดิบัสใช่หรือไม่?
...อา คนที่ตายจากไปตั้งนานแล้วแบบข้า คงจะไม่อยู่ในฐานะที่จะออกความเห็นเกี่ยวกับการต่อสู้ของเจ้าได้
แต่ถ้าจะถามความหวังส่วนตัวของข้าล่ะก็ ข้าอยากให้เจ้ามีชัย และมีชีวิตอยู่ต่อไป
ไม่อย่างนั้น เจ้าก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเอเม็ทเซลค์ไม่ได้น่ะสิ สัญญาที่ว่าจะจดจำพวกเรา
ความทรงจำที่เขาเคยแบกรับเหล่านั้นตกอยู่กับเจ้าแล้ว
สำหรับคนที่มีสิ่งต่างๆที่ต้องจดจำมากมายแบบเจ้า คงเห็นว่าความหมกมุ่นของอิลิดิบัสนั้นช่างไร้เหตุผล ยึดติดกับหน้าที่ทั้งๆที่จำอะไรไม่ได้
แต่ก็อย่าลืมว่าครั้งหนึ่งอิลิดิบัสก็เคยมีเหตุผลที่หวงแหนเช่นกัน ถึงเขาจะจำไม่ได้แล้วก็ตาม
ว่าแล้ว ข้าก็อยากให้เจ้าพบกับดาวดวงนี้อีกครั้ง
-ส่งคริสตัลสีส้มให้ WoL-
จำได้ไหม? ข้าเคยเล่าให้ฟังว่าสมาชิกคนที่สิบสี่ในกลุ่มผู้นำนั้นไม่เห็นด้วยกับแผนการอัญเชิญโซดิอาร์ค และออกเดินทางจากไป ปล่อยให้ตำแหน่งนั้นกลายเป็นที่ว่าง
เธอคนนั้น (ถ้าเล่นตัวละครชายจะเป็นเขา) ถูกมองว่าเป็นผู้ละทิ้งหน้าที่ ไม่คู่ควรแก่การระลึกถึง ไม่มีการสร้างคริสตัลไว้ให้หรอก
เว้นเสียแต่...เจ้าเพื่อนคนนึง จะแอบสร้างมันขึ้นมาและปิดบังไม่ให้ใครรู้
หินนี้จารึกชื่อตำแหน่งที่ถูกลืมชื่อนั้น และก็บรรจุไว้ด้วยเวทส่วนตัวของเธอคนนั้น เวทที่มีแต่เพื่อนสนิทจึงจะรู้จักดี
หน้าที่ของลำดับที่สิบสี่นั้นแตกต่างจากผู้นำคนอื่น มันเป็นตำแหน่งที่อุทิศชีวิตเพื่อทำความรู้จักและทำความเข้าใจโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้
เธอคนนั้นใช้ชีวิตเฉกเช่นนักเดินทางอย่างแท้จริง ออกผจญภัยไปทั่วทุกหนแห่ง พบปะผู้คนและสร้างหมู่มิตรมากมาย
แน่นอนว่าเธอย่อมพบเจอปัญหา แต่แค่แจ้งข่าวกลับมายังอามูรอทก็ไม่ใช่นิสัยของนาง
หุหุ เธอมักจะส่งสัญญาณเรียกเหล่าเพื่อนพ้องรู้ใจ แล้วก็ช่วยจัดการปัญหานั้นด้วยกัน
คาถาประจำตัวของเธออันนั้นก็บรรจุไว้ในหินนี้เอง พลังที่จะเรียกดวงดาวมาไว้เคียงข้างกายในพริบตา หากเจ้าพบเจออุปสรรคอันหนักหนา ก็ขอให้ใช้สิ่งนี้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะใช้พลังของมันได้
ในที่สุดมันก็กลับสู่เจ้าของตัวจริงเสียที~
หุหุ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก แต่ก็ต้องไม่บ่นข้าทีหลังด้วยนะ
เพราะถึงยังไง ข้าก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าการมอบมันให้เจ้าเป็นความประสงค์ของข้าจริงๆ หรือเป็นความตั้งใจของคนที่สร้างข้าขึ้นมากันแน่!’
.
.
.
และแล้วไฮโธลเดอุสก็หาย(หัว)ไป ทิ้งให้เรายืนงงอยู่กับหินรสส้ม แม้จะใช้ไม่เป็น ไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร แต่จากคำพูดของไฮโธลเดอุสแล้วดูเขาจะมั่นใจมากว่าเราจะใช้งานมันได้
.
และแล้วเราก็ได้ใช้จริงๆ คือฉากก่อนเริ่มไทรอัล Seat of Sacrifice ในครั้งนี้เราใช้คริสตัลเรียกเพื่อนอีกเจ็ดคนมาเองได้แล้ว
.
ระหว่างนั้นก็มีเสียงของเอเม็ทในภาษาแอนเชี่ยนดังออกมาจากหิน ก็คือบทพูดด้านบนสุดของโพสต์นี้ เป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักชื่ออาเซ็ม ฉบับ Eng ก็มีใจความคล้ายฉบับ JP แต่มีการใช้คำที่น่าสนใจอยู่
.
‘Herein I commit the chronicle of the traveler. Shepherd to the stars in the dark. Though the world be sundered and our souls set adrift, where you walk, my dearest friend, fate shall surely follow. For yours is the Fourteenth seat—the seat of Azem.’
.
‘ข้าขอจารึกเรื่องราวของนักเดินทางผู้นั้น ผู้ชี้นำเหล่าดวงดาวในความมืดมิด’ ใช้คำว่า The traveler และ Shepherd ซึ่งความหมายในที่นี้ไม่ใช่คนเลี้ยงแกะ แต่หมายถึงคนที่ชี้นำ,ช่วยเหลือ,รวมใจคนอื่นๆ
.
ย้อนกลับไปใน 5.0 ที่โคลูเซีย ตอนจะขึ้นลิฟต์ก่อนสร้างทาลอสยักษ์ เอเม็ทโผล่มาคุยกับเราและชมว่าเราเก่งนะ ที่รวบรวมใจผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกันมาช่วยเหลือกันทำงานใหญ่ได้ แล้ว WoL จะงงว่าจู่ๆพูดเรื่องนี้ทำไม
.
ถึงตอนนี้จึงได้เข้าใจบริบทว่าในอดีต อาเซ็มก็เป็นคนนิสัยแบบนี้ เป็นนักเดินทาง ออกไปช่วยเหลือผู้คนในที่ต่างๆทั่วโลก (เป็นเบ๊มาตั้งกะชาติก่อนเลยเรอะ...) มาชาตินี้ก็ยังนิสัยเหมือนเดิม
.
นอกจากจะช่วยคนไปทั่วแล้วยังมีพลังดึงดูดแง่ดีของคนอื่นๆออกมา เห็นแล้วเอเม็ทจึงคิดถึงเพื่อนเก่าจนทักจุดนี้ ฉากถัดจากนั้นก็มีแย็บถามว่าจำอะไรไม่ได้อยู่แล้วใช่มั้ย เขาคงแอบหวังลึกๆอยากให้ WoL จำเรื่องอดีตได้ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้
.
ความ unite us & draw us together (แกนนำ) เป็นจุดเด่นของ WoL ที่เนื้อเรื่องเน้นมาเสมอ ทั้งกราฮาเทีย ฮาเชอฟานต์ ลีซ ฮิเอ็น เหล่าไซออน โลกในไทม์ไลน์ที่แพ้ต่อแก๊สกุหลาบดำ และคนอื่นๆอีกมากมาย ล้วนเห็น WoL และได้แรงบันดาลใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆต่อไปในแบบของตัวเอง
.
ล่าสุดถ้าทำเควสรีลิคบอซจา ซิดก็พูดว่า ความแข็งแกร่งที่สุดของเราไม่ใช่พลัง แต่เป็นนิสัยที่สามารถดึงความกล้าหาญของคนอื่นออกมา (เห็นความแตกต่างของเรากับเซนอสไหม)
.
ตั้งแต่ 2.0 ก็จะคิดว่าเป็นการสวมบทคนดีแบบหลวมๆในฐานะตัวเอก ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่านั้น แต่มาแพทช์นี้ดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลัก เป็นแก่นนิสัยของอาเซ็ม ผูกเรื่องได้แจ่มไปเลย ย้ำจุดเด่นของ Shadowbringers ที่เป็นการสร้างมิติคาแรคเตอร์ ไม่ใช่แค่ NPC แต่รวมถึง WoL ด้วย
.
จากที่ไฮโธลเดอุสอธิบาย ผู้นำคนอื่นมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆจะประจำการอยู่ที่เมืองหลวงอามูรอท แต่หน้าที่ของอาเซ็มเป็นสายลุย ภาคสนาม ไปลงพื้นที่เก็บข้อมูล ขึ้นเหนือล่องใต้ผูกมิตรกับชนพื้นเมืองในที่ต่างๆของโลก และจัดการกับอะไรก็ตามที่จะเป็นอันตรายกับดวงดาว
.
พอเจอปัญหา ก็จัดการเสียเอง หากคนเดียวไม่ไหว ก็ใช้เวทประจำตัวในการซัมมอนเพื่อนมาช่วย...ขนาดพลัง duty finder ยังใส่ลอร์มาให้เลยนะเนี่ย กลายเป็นพลังสามัคคีรุมกระทืบบอสอย่างเป็นทางการ
.
ในเรื่องสั้น Tales from the shadows แม้คนบนเกาะภูเขาไฟก็ปลงแล้วว่าบ้านและไร่นาคงถูกทำลาย แต่อาเซ็มก็ไม่ยอมถอดใจ ตามคติ For those we have lost. For those we can yet save.
.
และไม่คิดว่าเป็นเรื่องเสียแรงเปล่าที่จะพยายาม ถึงจะโดนคนอื่นตำหนิทีหลังก็เถอะ เพราะกลุ่มผู้นำมักไม่ใช้พลังของชาวอามูรอทก้าวก่ายปัญหาทั่วไป จะปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ (แต่อิลิดิบัสก็มาบอกให้เฮดีสแอบตามไปช่วยในที่สุด)
.
ด้วยตำแหน่งและนิสัยที่วางมาแบบนี้ สงสัยว่าอาเซ็มน่าจะเป็นคนแรกๆที่รู้จักภัยของ The Sound หายนะที่ทำให้โลกใบเดิมเกือบจบสิ้น ใน 5.0 มี NPC อามูรอทพูดว่าภัยนี้เริ่มเกิดขึ้นในมุมอันห่างไกลของโลก และทำลายทีละประเทศมาเรื่อยๆจนมาถึงเมืองหลวงในที่สุด
.
จากคำพูดของกลุ่มของเวนาท์ใน 5.2 พูดถึงว่าอาเซ็มไม่เห็นด้วยกับแผนการอัญเชิญของทั้งสองฝ่าย คือไม่ช่วยทั้งโซดิอาร์คหรือไฮเดลิน
คิดว่าในฐานะนักเดินทาง สาเหตุที่อาเซ็มออกจากอามูรอทเป็นครั้งสุดท้ายในยามที่ทุกคนต้องการ ไม่ใช่การทรยศ แต่คงเป็นการออกไปจัดการกับต้นตอของ ‘เสียงลึกลับ’ ที่กำลังทำลายดวงดาวในตอนนั้น กระนั้นหลายคนก็มองว่าอาเซ็มเป็น Defector (คนแปรพักตร์) ไม่คู่ควรแก่การระลึกถึง ไม่มีคริสตัลความจำทำไว้ให้
.
แต่แล้วเอเม็ทก็แอบทำอยู่ดี แอบสร้างคริสตัลไว้ระลึกถึงเพื่อนคนนี้ ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นด้วยกับสิ่งที่อาเซ็มเลือกทำ หรือเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่จะยังไงสุดท้ายแล้วอาเซ็มก็ถูก sundered ไปด้วยพร้อมกับดวงดาว
.
การที่เพื่อนที่เคยรักและให้เกียรติ ถูกแยกส่วนวิญญาณ เสียความทรงจำทั้งหมด และกลายมาเป็นหมากของไฮเดลีนทั้งๆที่ในอดีตไม่ได้เลือกข้าง คงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เอเม็ทเกลียดชังไฮเดลิน
.
โดยคริสตัลของอาเซ็มที่เอเม็ทสร้างขึ้นนั้นเป็นเหมือนของดูต่างหน้า ไม่ได้มีไว้ใช้ในการสร้างแอสเซี่ยนชั้นรอง เอเม็ทจึงไม่เคยบอกใคร เก็บไว้คนเดียว จนถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับชาร์ดของเพื่อนอีกครั้งจึงเอามาฝากไฮโธลเดอุสไว้ จนส่งมาถึงมือเราในที่สุดหลังเขาตาย
.
.
ถึงตรงนี้ หลังจากกำจัดอิลิดิบัสได้ มีบางคนคิดว่าเอเม็ทเจตนาให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ เพราะให้ทั้งคริสตัลบรรจุเวทเรียกเพื่อน แถมยังโผล่มาช่วย WoL ในภาวะคับขันด้วย
.
แต่เรามองว่าไม่ใช่ ในเรื่องสั้นเจ้าตัวก็พูดว่า 'Twas e'er my fate to wager all คือตอนสู้กับเราเขาเดิมพันด้วยชีวิต
.
ถึงปากจะดูถูกว่าเราเป็นแค่วิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ ไม่อยากจะยอมรับว่าเราคืออาเซ็ม แต่ใจจริงแล้วไม่ได้ประมาทเลย สู้สุดตัวเพราะเข้าใจดีว่าถ้าตัวเองทำไม่ได้ เหลืออิลิดิบัสที่อ่อนพลังกว่าแค่คนเดียวยิ่งไม่มีทางทำสำเร็จ
ตามข้อสังเกตของยาชโตล่า เธอคิดว่าเอเม็ทวางแผนเผื่อไว้ในกรณีที่ตัวเองแพ้ ถึงทิ้งคริสตัลไว้ให้ WoL ใช้ช่วยปลดปล่อยอิลิดิบัสไม่ให้ต้องทรมานต่อไปคนเดียว
.
ในตอนจบ 5.0 เอเม็ทฝากฝังให้เราช่วยจำ เพราะรู้แก่ใจว่าความฝันของแอนเชี่ยนจบลงแล้วพร้อมความพ่ายแพ้ของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้โศกเศร้ากับความสิ้นหวัง การที่เราเอาชนะเขาได้ก็พิสูจน์ว่าถึงมนุษย์ปัจจุบันจะมีวิญญาณไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีคุณค่าในแบบของตน
เขาอาจจะเห็นความมุ่งมั่นของอาเซ็มที่ยังคงค้างอยู่ในตัวของ WoL ถึงได้ยิ้มออกมาในวาระสุดท้าย
.
.
ใน 5.3 เมื่อเราถูกส่งเข้ามิติมืดที่หาทางออกไม่ได้ การใช้คริสตัลของอาเซ็มทำให้เรียกวิญญาณของเอเม็ทที่ยังไม่สลายไปในอันเดอร์เวิลด์ออกมา ตัวตนของเอเม็ทที่ปรากฏในระหว่างการสู้กับอิลิดิบัสเป็นรูปลักษณ์ของแอนเชี่ยน ไม่ใช่แอสเซี่ยน ไม่ใช่หน้าตาของจักรพรรดิโซลัส
เพราะเขาไม่ได้มาในฐานะเอเม็ทเซลค์ แต่มาช่วยเราในฐานะ’เฮดีส’ เพื่อนของอาเซ็ม
ในอดีตอาเซ็มคงจะเคยเรียกเฮดีสให้ไปร่วมต่อสู้ด้วยกันหลายครั้ง เหมือนตอนที่ไปปกป้องไร่องุ่นในเรื่องสั้น และแม้ว่านับจากวันที่เคยเป็นเพื่อนกันนั้นจะแสนนาน ต่างคนต่างเปลี่ยนไปจนเรียกได้ว่าเป็นคนละคน
ทั้งจุดยืนและสิ่งที่ต้องการก็ต่างกัน แต่เมื่อเรายอมรับและยอมใช้พลังของอาเซ็ม ในครั้งนี้เขาก็จะมาช่วยเหมือนอย่างเคย ‘where you walk, my dearest friend, fate shall surely follow’
.
สิ่งสุดท้ายที่เขาตั้งใจจะทำก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเธอร์ไปโดยสมบูรณ์ ก็คือการจับตาดูชะตากรรมของอดีตเพื่อนคนนี้ ดังนั้นการช่วยเหลือครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายก็ได้ ใครจะไปรู้?
.
.
หลังจบเนื้อหาใน 5.3 อุริเอนเจตั้งประเด็นว่าชื่อ Azem มีความคล้ายกับ Azeyma และ Azim (เทพของเอเออร์เซียและเทพของอซิมสเตปป์) ซึ่งทั้งหมดมีจุดเชื่อมโยงกับพระอาทิตย์ หากเทียบไทม์ไลน์แล้วคงต้องบอกว่าสองอันหลังนั้นมีที่มาจากชื่อ Azem
.
สันนิษฐานว่าหลังจากโลกถูกแยกส่วนโดยไฮเดลินแล้วก็ยังมีชาร์ดบางคนที่มีภาพจำจากดาวดวงเดิม เป็นความทรงจำตกค้างเหมือนกลุ่มคนที่เขียนภาพโซดิอาร์คและไฮเดลินบนฝาผนังใน Qitana Ravel อาจจะมีคนจำหน้าที่และอัตลักษณ์ความเป็นพระอาทิตย์ของ Azem ได้เลือนรางก็ได้ และเล่าสืบต่อกันมาจนกลายเป็นเทพท้องถิ่น
.
เพราะอาเซ็มเป็นเหมือนพระอาทิตย์ ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ ก็ไม่มีแสง พอไม่มีแสงก็ไม่มีเงา ซึ่ง...คำว่า Ascian แอสเซี่ยน แปลว่า ‘ไร้เงา’!
.
จากคำพูดที่ฝากไว้ในหิน เอเม็ทเห็นอาเซ็มเป็น Shepherd to ‘the stars’ in the dark กลุ่มดาวในที่นี้หมายถึงกลุ่มผู้นำราศีทั้งหลายที่ขาดอาเซ็มไป จนหลงทาง กระจัดกระจาย กลายเป็นเหล่าแอสเซี่ยน
.
สุดท้ายในแพทช์นี้เราก็ช่วยรวมเหล่าดวงดาวให้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ด้วยการส่งคริสตัลความจำทั้งหลายให้อิลิดิบัส ชี้นำให้เขาได้พบความสุขในความทรงจำถึงเพื่อนๆที่เขารักเป็นครั้งสุดท้าย
ถึงจะผ่านมาเนิ่นนานแต่ก็ถือว่าทำหน้าที่ของอาเซ็มได้สำเร็จไปส่วนนึงเสียที
.
.
.
.
ป.ล. ปกติฉายาจากอะชีฟเมนต์หลังจบเนื้อเรื่องจะเป็นชื่อแพทช์ซะส่วนมาก แต่ใน 5.3 นี้ ฉายาคือ 'Shepherd to the Stars'!
#FF14 #Shadowbringers
-------------------------
บทความอื่นๆที่พูดถึง
บทแปลนิยายเรื่องสั้น Tales from the shadows
ตอนที่พูดถึงอาเซ็ม
facebook.com/taepoppuri/photos/a.1394794957266616/3401069879972437
ส่วนตอนอื่นๆมีรวมไว้ในอัลบั้มนี้
facebook.com/pg/taepoppuri/photos/?tab=album&album_id=1394794957266616
สรุปเนื้อเรื่อง 5.3 ของอิลิดิบัส
facebook.com/pg/taepoppuri/photos/?tab=album&album_id=3355024771243615
for those we have lost for those we can yet save 在 Milton Goh Blog and Sermon Notes Facebook 的精選貼文
The Only Situation Whereby God Sends Disasters in the World Today
“Yahweh said to Satan, “Behold, all that he has is in your power. Only on himself don’t stretch out your hand.” So Satan went out from the presence of Yahweh...While he was still speaking, there also came another, and said, “The fire of God has fallen from the sky, and has burned up the sheep and the servants, and consumed them, and I alone have escaped to tell you.”” (Job 1:12, 16 WEB)
We know from reading the Book of Job that it was Satan who afflicted Job with sores and destroyed his children, flocks, herds, servants and property.
Yet, when the servant ran to tell Job about the bad news, he said it was “the fire of God”.
People of the world who have no knowledge of the Scriptures are so quick to blame God for natural disasters in the world.
In insurance policies, they even call it “acts of God”, referring to unexpected disasters like tornadoes, tsunamis, volcanic eruptions, etc.
However, most of it is not even God causing these disasters.
Don’t forget that we live on a earth that’s fallen.
“For we know that the whole creation groans and travails in pain together until now.” (Romans 8:22 WEB)
When God created the earth, He didn’t design it to produce these calamities. Adam’s sin caused the earth to be subject to death and corruption.
Earthquakes, tsunamis, volcanic eruptions—these are the groans and travailing of the earth that is in “pain”.
Aside from that, although Satan has lost his rulership over the earth because of Jesus’ finished work at the cross, he is still called “the prince of the power of the air”.
“in which you once walked according to the course of this world, according to the prince of the power of the air, the spirit who now works in the children of disobedience;” (Ephesians 2:2 WEB)
He has a certain level of power and influence over nature. At least we know that he can manipulate the air, causing things like hurricanes, whirlwinds and tornadoes.
The devil probably laughs when people blame God for natural disasters which he (Satan) has caused.
When these tragedies strike, some legalistic people say it’s God judging this country or judging that group of people for their sins. This isn’t true.
In this dispensation of the church age, God’s priority is to save as many people as possible—for them to have faith in Christ Jesus as Lord.
But is there any case nowadays whereby God may judge people using natural disasters as one of the methods?
“I will bless those who bless you, and I will curse him who curses you. All the families of the earth will be blessed through you.”” (Genesis 12:3 WEB)
It is possible, if it is linked to the nation of Israel. God made a covenant with Abraham, Isaac and Jacob, saying that He would curse whoever who curses Israel.
Israel is the only nation that God made such a covenant with. The other nations of the world have no such privilege.
Whenever a nation comes against Israel to harm or destroy her, God sends a manifestation of the curse—a devastating blow upon the perpetrator for the covenant’s sake.
Look at all the great world powers that came against Israel or persecuted the Jews in history: Egypt, Assyria, Babylon, Medo-Persia, Greece, Rome, etc.
The power of these kingdoms have been irreversibly broken.
Research Hitler’s end when he committed genocide against the Jews.
You can also read about the Antichrist’s defeat in the Book of Revelation.
The Book of Zechariah reveals that just as he thinks he’s going to conquer Jerusalem, Jesus will return with the saints and angels upon the clouds, and destroy the Antichrist and his wicked armies.
Whoever dares to harm Israel has to face God Himself. No one can withstand His overwhelming power!
In “The Book of Revelation Explained”, you will understand more about the upcoming end-time events and gain strong confidence that there’s a great victory for God’s people: https://bit.ly/bookofrevelationexplained