เมื่อศิลปะไม่ใช่อาชญากรรมแต่กลับละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
.
จากการที่ผู้คนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารและใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์มากขึ้น การถ่ายภาพถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถสร้างการสื่อสารกับบุคคลอื่น รวมถึงเป็นการเก็บบันทึกเพื่อเป็นหลักฐานบางอย่างต่อทั้งความทรงจำ เก็บเป็นหมุดหมายเวลา หรือบางครั้งก็เป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุก รื่นรมย์ จนนำไปสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะผ่านภาพถ่าย กลายเป็นงานศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่เรียกว่า Street photography หรือที่เราคุ้นหูกันว่า ภาพสตรีท
.
การถ่ายภาพอย่าง Street photography ที่กำลังเป็นที่นิยมในสังคมไทยตอนนี้ ผู้คนหันมาทดลองถ่ายรูปบนพื้นที่สาธารณะ บนฟุตบาท ข้างถนน ขนส่ง คมนาคมสาธารณะ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่แน่นอนว่าต้องเป็นเมืองที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นพื้นที่ทดลองถ่ายภาพสตรีท บางคนถ่ายเพื่อสร้างพื้นที่ตีความใหม่ ความหมายใหม่ขึ้นมาในภาพถ่ายนั้น ๆ
.
“แอบถ่าย” คือคำที่ถูกใช้เรียกการกระทำของช่างภาพแนว street ท่านหนึ่งหลังเกิดกระแสดราม่าในช่วงเดือนสิงหาคม และผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในสังคมออนไลน์หลายคนออกมาแสดงความไม่พอใจในวิธีการถ่ายภาพของเขาที่ออกไปถ่ายภาพผู้คนบนท้องถนนและไม่ได้มีการขออนุญาตคนที่ถูกถ่ายและมีการนำเอาคลิปที่เกิดการปะทะกันเล็กน้อยกับชายที่เป็นวินมอเตอร์ไซค์มาลงใน YouTube โดยช่างภาพเองให้เหตุผลว่าในแง่กฎหมายแล้วนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรผิดดังนั้นเขาจึงทำสิ่งที่ทำอยู่ได้และมีการออกมายืนยันสิทธิในการแสดงออกของตนเองอีกด้วยซ้ำผ่านการใช้วาทกรรมศิลปะไม่ใช่อาชญากรรม ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความไม่พอใจแก่ชาวเน็ตอย่างมากโดยทางชาวเน็ตมองว่าการกระทำของช่างภาพคนนี้ที่ไปถ่ายภาพผู้คนในที่สาธารณะและไม่ได้ขออนุญาตเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสมควรที่จะถูกดำเนินคดี และจากประเด็นดราม่านี้เองทำให้เกิดข้อถกเถียงในเรื่องความเป็นส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ
.
คำถามคือแล้วทำไมการถ่ายภาพสตรีทจึงเป็นปัญหา?
.
ด้วยคำนิยามของ Street photo ที่มีความหลากหลาย อย่าง Visit Kulsiri หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม Street Photo Thailand (SPT) ได้ให้ความหมายของ Street photo ว่าคือ “ถ่ายภาพผู้คน(หรือไม่มีคน)ในที่สาธารณะ โดยไม่มีการโพสท่าหรือจัดฉาก ทุกสิ่งมันอยู่รอบ ๆ ตัวเรา เพียงแต่เราต้องสังเกต มองหามันให้เจอ และจับภาพไว้ให้ทัน”
.
หรืออย่าง Mrsung Sungkrit สมาชิกของ SPT ที่นิยามว่า “Street Photography คือการสะท้อนภาพของชีวิตจริง ไม่มีการเซ็ตจัดฉาก จากสถานที่จริง ที่ที่ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันเป็นประจำวัน หรือสัญจรไปมา ส่วนใหญ่จะเป็นที่สาธารณะ มีผู้คนอาศัยเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าห้างร้าน รถไฟฟ้าใต้ดิน หน้าสำนักงาน ภาพถ่ายส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพที่ผู้คนไม่ทันได้สังเกต หรือมองเห็นไม่บ่อยนักในชีวิตประจำวัน รวมไปจนถึงรายละเอียดปลีกย่อยของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
.
ช่างภาพจะป็นคนกำหนดและให้ความสำคัญกับฉาก ช่วงเวลาและผู้คน จากประสบการณ์ความรู้สึกภายใต้จิตสำนึกของช่างภาพเอง ซึ้งเป็นการจับอารมณ์และหยุดเวลาบันทึกภาพผ่านชัตเตอร์ภายในเสี้ยววินาที กล้องเป็นเพียงส่วนขยายและหยุดเวลานัยน์ตาของช่างภาพ เพื่อบันทึกเก็บไว้เท่านั้นเอง”
.
ด้วย concept หลัก ๆ ของ street photography นั้น ต้องเป็นการถ่ายในพื้นที่สาธารณะ ไม่มีการจัดฉาก เน้นสะท้อนภาพของชีวิตจริง จากสถานที่จริง การสร้างสรรค์ผลงานจึงจำเป็นต้องเจอกับผู้คนทั่วไป การถ่ายภาพที่ต้องปะทะหรือพบปะกับผู้คนจึงมีค่อนข้างสูง
.
เกิดข้อถกเถียงว่าระหว่างเสรีภาพในการแสดงออกเพื่อการสร้างสรรค์ผลงานกับสิทธิในความเป็นส่วนบุคคล หรือความเป็น privacy ของแต่ละคน ปัญหามีอยู่ว่า มุมของคนถ่ายสตรีท ก็ต้องการจะถ่ายเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน โดยวัตถุประสงค์ “ไม่จัดฉาก” การจะขอความยินยอม (consent) กับตัวแบบก่อน มันจึงขัดแย้งกับหลักการถ่ายภาพ street ของการถ่ายภาพในพื้นที่สาธารณะคือ คนที่ถูกถ่ายไม่ได้รับคำยินยอมก่อนจะถ่าย แต่ฝ่ายผู้ถ่ายก็จะอ้างว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงออกเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะ
.
เสรีภาพในการแสดงออก ถูกรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) บรรดาประเทศสมาชิกของ UN ได้ร่วมกันรับรอง เมื่อปีค.ศ. 1948 ถือเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติต่อกันของมวลมนุษย์และของบรรดานานาชาติ ถึงแม้ว่า UDHR จะไม่ได้มีผลบังคับทางกฎหมายเช่นเดียวกับสนธิสัญญา อนุสัญญา หรือ ข้อตกลงระหว่างประเทศ แต่ UDHR ฉบับนี้นับเป็นกฎเกณฑ์จารีตประเพณีระหว่างประเทศ มีพลังสำคัญทางศีลธรรม จริยธรรม และมีอิทธิพลทางการเมืองไปทั่วโลก และถือเป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่บรรดาประเทศทั่วโลกยอมรับ
.
โดยในข้อ 19 ได้บัญญัติว่า ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงอิสรภาพในการที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการแรกสอดและที่จะแสวงหา รับและแจกจ่ายข่าวสารและความคิดเห็นไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ และโดยไม่คำนึงถึงเขตแดน
.
ไม่ได้มีแค่ UDHR ที่ไทยไปร่วมรับรองเท่านั้น ยังมีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง (ICCPR) ที่ไทยได้ไทยเข้าเป็นภาคีโดยการภาคยานุวัติไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 เนื้อหาของ ICCPR ในเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก ได้ปรากฎในข้อที่ 19 ว่า “บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา รับและ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความคิดทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยวาจาเป็นลายลักษณ์ อักษรหรือการตีพิมพ์ ในรูปของศิลปะ หรือโดยอาศัยสื่อประการอื่นตามที่ตนเลือก”
.
หากมองมายังกฎหมายไทย เสรีภาพการแสดงออกได้ถูกรับรองและถูกจำกัดโดยกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ทั้งฉบับปีพ.ศ. 2540, 2550 และฉบับปี พ.ศ. 2559 ต่างก็รับรองให้ทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงออกในลักษณะเดียวกัน กล่าวโดยเฉพาะ รัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ. 2559 รับรองเสรีภาพการแสดงออกไว้ในมาตรา 34 และกำหนดไว้ด้วยว่า “เสรีภาพการแสดงออก จะถูกจำกัดได้ตามกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน” อย่างไรก็ดีการจำกัดก็เพื่อเหตุผลทางความมั่นคงทางการเมือง ผลประโยชน์ทางการเมือง แต่กฎหมายเฉพาะที่พูดถึงการแสดงออกในรูปแบบการถ่ายรูปแบบสตรีทนั้นไม่เป็นความผิดทางกฎหมาย จนกว่าจะเผยแพร่ แล้วทำให้บุคคลอื่นเกิดความเสียหาย
.
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ได้รับรองแบบกว้าง ๆ ไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทย ปี พ.ศ.2560 ได้รับรองไว้ในมาตรา 32 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตาม บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ”
.
กฎหมายเฉพาะ อย่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นั้น มีเนื้อหาที่ต้องการจะคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของประชาชน แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มีผลบังคับใช้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบการเลื่อนบังคับใช้บางมาตราใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ออกไป 1 ปี เป็นวันที่ 27 พ.ค.2564 จากเดิมจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 พ.ค.63 นี้ ตามที่กระทรวงดีอีเอสเสนอ โดยสาเหตุที่ต้องเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายออกไป เนื่องจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มสมาคมและภาคธุรกิจต่างๆได้ยื่นข้อร้องเรียนไปยังนายกรัฐมนตรี ถึงความไม่พร้อมในการดำเนินการตามกฎหมาย เนื่องจากในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทุกองค์กรได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคเอกชน
.
แล้วต่างประเทศล่ะ เขามีปรากฎการณ์อย่างไรบ้าง?
.
การถ่ายภาพในที่สาธารณะก็เป็นหนึ่งประเด็นที่ร้อนแรงในต่างประเทศเช่นกัน อีกทั้งแต่ละประเทศก็ได้มีวิธีการจัดการหรือมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพในพื้นที่สาธารณะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวิธีคิดเบื้องหลังของสังคมนั้น ๆ จะขอยกตัวอย่าง 3 ประเทศ ประกอบไปด้วย เยอรมนี ญี่ปุ่น และอเมริกา
.
1. ประเทศเยอรมนี มักจะถูกเข้าใจว่ามีกฎหมายที่เข้มงวดและเน้นสิทธิส่วนบุคคลของผู้คน การถ่ายภาพในที่สาธารณะจึงได้กลายเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นถึงข้อขัดแย้งนี้โดยมีนักเขียนท่านหนึ่งถึงกับบอกว่าสำหรับในประเทศเยอรมนีแล้วแม้แต่จะกล่าวอ้างในนามศิลปะแต่สิทธิส่วนบุคคลก็ไม่ควรที่จะถูกละเมิด หากจะกล่าวโดยสรุปถึงการถ่ายภาพในที่สาธารณะและการเผยแพร่ภาพถ่ายแล้วในเยอรมนีสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ข้อ
.
ประกอบไปด้วยการถ่ายภาพในที่สาธารณะนั้นสามารถถ่ายได้และไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมหากจะเป็นการถ่ายโดยบุคคลและใช้ส่วนบุคคลเท่านั้น (personal use only) แต่หากจะนำไปใช้กับองค์กรหรือหน่วยงานรัฐจำเป็นที่จะต้องขอความยินยอม การเผยแพร่ภาพถ่ายของบุคคลที่ถ่ายในที่สาธารณะจำเป็นต้องขอคำยินยอมแต่หากเป็นบุคคลสาธารณะนั้นไม่จำเป็นและได้รับการยกเว้น และในส่วนของการนำภาพถ่ายบุคคลที่ถ่ายในพื้นที่สาธารณะไปใช้ในเชิงพาณิชย์นั้นจำเป็นที่จะต้องขออนุญาตเสมอและต้องได้รับคำยินยอม
.
ในกรณีของการถ่ายภาพในที่สาธารณะของประเทศเยอรมนีที่มีข้อพิพาทและได้รับคำตัดสินจากศาลคืองานของช่างภาพที่ชื่อว่า Espen Eichhofer ที่เป็นช่างภาพถ่ายภาพประเภท street ได้จัดแสดงภาพถ่ายของเขาในแกลเลอรีที่ตั้งอยู่ในเมืองเบอร์ลิน หนึ่งในภาพถ่ายที่ถูกจัดแสดงอยู่มีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนถนนและอยู่ในชุดลายเสือ โดยผู้หญิงคนที่อยู่ในภาพได้ฟ้อง Espen เพื่อให้นำภาพของเธอออกและชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการจ้างทนาย โดยศาลได้ตัดสินให้ Espen ผิดเพราะไม่ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของภาพและจำเป็นต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดี โดยในกรณีนี้เกิดขึ้นตามกฎหมายลิขสิทธิ์สำหรับงานศิลปะของเยอรมนีหรือ Kunsturhebergesetz อย่างไรก็ตามในกฎหมายนี้ก็คงยังมีข้อยกเว้นอยู่ตรงที่หากผู้คนในภาพเป็นเพียง “เครื่องประดับ” หรือส่วนประกอบที่ไม่ได้มีความสำคัญต่อภาพอย่างเช่นภาพของคนในถ่ายวิวทิวทัศน์จะได้รับการยกเว้น ในกรณีของเยอรมนีนี้จะเห็นได้ว่าสิทธิส่วนบุคคลหรือความเป็นส่วนตัวจะได้รับการให้ความสำคัญอย่างมาก แม้ว่าจะอ้างว่าเป็นงานศิลปะก็ตาม
.
2. ประเทศสหรัฐอเมริกา การถ่ายภาพในที่สาธารณะนั้นก็ได้สะท้อนอุดมการณ์เบื้องหลังของประเทศเช่นกัน โดยประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตรกับผู้ถ่ายภาพอย่างมาก โดยหากเปรียบเทียบกันในประเด็นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ สามข้อที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า การถ่ายภาพบุคคลในที่สาธารณะนั้นไม่จำเป็นต้องขออนุญาต และการเผยแพร่นั้นก็ไม่จำเป็นเช่นกัน แต่ในส่วนของการใช้ภาพถ่ายที่ถ่ายในพื้นที่สาธารณะนั้นต้องดูไปในรายละเอียดของแต่ละรัฐ
.
โดยคำตัดสินของศาลก็ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับอุดมการณ์ดังกล่าว อย่างเช่นในกรณีของชายชาวยิวที่ชื่อว่า Erno Nussenzweig ที่ได้ฟ้องช่างภาพที่ชื่อว่า Philip-Lorca Dicorcia หลังจากที่เขาเห็นภาพของตนเองถูกจัดแสดงอยู่ในแกลเลอรี่โดยที่เขาไม่ยินยอม อย่างไรก็ตามศาลเห็นว่างานของ Dicorcia เป็นการแสดงออกทางศิลปะให้ Dicorcia ชนะคดีไป และในกรณีของช่างภาพ Thomas Hoepker ที่ได้ถ่ายภาพของ Barbara Kruger และหลังจากนั้น Babara Kruger ได้ใช้ภาพของเธอเองที่ถูกถ่ายโดย Hoepker เพื่อใช้ประกอบงานศิลปะโดยไม่ได้รับคำยินยอมจาก Hoepker ทำให้ Hoepker ผู้ที่เป็นช่างภาพฟ้อง Kruger ที่ได้นำภาพไปใช้ แต่ในกรณีนี้ศาลตัดสินให้ Kruger ชนะโดยให้เหตุผลว่าการใช้ภาพนั้นไม่ได้เป็นไปในเชิงพาณิชย์แต่เป็นการใช้ในฐานะศิลปะ และอีกหนึ่งตัวอย่างคือข้อพิพาทระหว่างนิตยสาร The New York Times กับนาย Clarence Arrington ในปีค.ศ. 1982 หลังจากที่เขาได้เห็นภาพถ่ายของตนเองขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนนในเมืองนิวยอร์กลงบนหน้าปกของนิตยสารโดยไม่ได้มีการขออนุญาตเขาก่อน เขาจึงได้ทำการฟ้องร้องต่อศาล และศาลได้ติดสินว่า The New York Times ไม่ผิดโดยอ้างหลัก First Amendment ที่เน้นเสรีภาพในการแสดงออกที่อยู่เหนือสิทธิส่วนบุคคล จากทั้งสามกรณีจะเห็นได้ว่าศาลของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ให้ความสำคัญกับสิทธิในการแสดงออกมากกว่าสิทธิส่วนบุคคล
.
ประเทศญี่ปุ่น การถ่ายภาพมีข้อจำกัดที่ค่อนข้างมีลักษณะที่โดดเด่น ถ้าหากกล่าวโดยสรุปจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ข้อหลักคือ การถ่ายภาพของบุคคลในที่สาธารณะต้องได้รับคำยินยอม, การตีพิมพ์ภาพบุคคลที่ถ่ายในพื้นที่สาธารณะต้องได้รับคำยินยอมเช่นกัน และการใช้ภาพที่ถ่ายบุคคลในพื้นที่สาธารณะในเชิงพาณิชย์ต้องได้รับคำยินยอมเสมอ
.
ในกรณีข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพในที่สาธารณะของญี่ปุ่นนั้นอาจจะสามารถเห็นได้จากคำตัดสินของศาลโดยมีหนึ่งกรณีที่โด่งดังที่เกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1969 ที่ศาลสูงสุดของญี่ปุ่น (supreme court of Japan Grand Bench) ได้ตัดสินกรณีที่ผู้ประท้วงถูกถ่ายภาพขณะที่ประท้วงโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประท้วงไม่ยินยอมให้ถ่าย โดยศาลสูงสุดได้ตัดสินให้การถ่ายภาพแม้จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแต่หากไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถูกถ่ายและไม่มีเหตุผลที่ดีพอในการถ่ายให้ถือว่าขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญและไม่อนุญาต และอีกหนึ่งกรณีของการถ่ายภาพในที่สาธารณะในกรณีของบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ คือกรณีที่เกิดขึ้นในปีค.ศ. 2005 ที่มีการฟ้องร้องจากผู้ต้องหาที่ถูกถ่ายภาพโดยนิตยสารเล่มหนึ่ง โดยมีภาพของเขาที่ถูกตำรวจจับกุมและใส่กุญแจมือไขว้หลังอยู่โดยศาลได้ตัดสินว่าภาพถ่ายที่ได้รับการตีพิมพ์อยู่ในพื้นที่ของนิตยสารนั้นมีความผิดเพราะทำให้บุคคลเสื่อมเสียเกียรติ (the picture taken is content that hurts the honorary feeling of the person) นี้คือกรณีหนึ่งที่ทำให้เห็นได้ว่าศาลยังยึดตามหลักการสิทธิส่วนบุคคลและมีความพยายามในการที่จะปกป้องสิทธิส่วนบุคคลอยู่
.
จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนความท้าทายที่วงการถ่ายภาพสตรีทเผชิญอยู่ และต้องมาหาทางออกร่วมกันว่าจะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร และจะมีทางออกหรือบรรทัดฐานใหม่เพื่อสร้างให้งานภาพถ่ายแบบ street นั้นเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้คนได้อย่างไรต่อไป
.
.
แหล่งที่มา
https://themomentum.co/thailand-personal-data-protection-a…/
http://www.streetviewphotography.net/b-spvsdp/
https://law.photography/law/street-photography-laws-in-japan
https://streetbounty.com/should-street-photography-be-ille…/
barbara kruger 在 Ming's Facebook 的最讚貼文
|NEWS|K11聯乘洛杉磯當代藝術館:獨家發售限量版口罩!
口罩已成為我們的長期日用品,想不到今次K11更聯手洛杉磯當代藝術館(MOCA),帶來一系列限量版藝術家設計口罩,讓日用品變成藝術品。
作為MOCA有史以來首個口罩設計計劃,一共9款的聯乘口罩,更得到VIRGIL ABLOH、MARK GROTJAHN、ALEX ISRAEL、BARBARA KRUGER、小野洋子、CATHERINE OPIE、PIPILOTTI RIST、HANK WILLIS THOMAS及 ANDY WARHOL 視覺藝術基金會參與,更由藝術家特別為此創作,或將現有作品改編,盼望利用口罩來拉近藝術與人的距離。
最重要的是,MOCA MASKS於洛杉磯製造,不同設計更使用不同布料,包括100% 全棉、棉混紡或100%聚酯超細纖維,並從即日起於K11網店預購,售價為每個港幣320元!
預購網址:https://shop.k11.com/en/eshop/moca
#MINGS #K11MUSEA #MOCAMASKS #CSV #SILICONVALLEYOFCULTURE
相關文章:
➜【專訪】口罩套裝設計師高赫晙:我的責任是改變韓國人對PUNK的想法 https://bit.ly/3gCHUjM
➜媲美CDG的PVC系列?聖地亞哥設計師透明口罩重現臉上的微笑 https://bit.ly/32rHU1D
_________________________________
FOLLOW US NOW
➜ WEBSITE WWW.MINGS.HK
➜ INSTAGRAM WWW.INSTAGRAM.COM/MINGS.HK
➜ YOUTUBE WWW.YOUTUBE.COM/MPWMINGS
barbara kruger 在 STYLE-TIPS.COM Facebook 的精選貼文
【#藝術抗疫】在這個全民戴口罩的時代,連口罩也變得有藝術感了!
近日 #K11 宣布與 #洛杉磯當代藝術博物館(#MOCA)破天荒合作,推出限量版 MOCA 藝術家設計口罩(#MOCAmasks)。共9 款充滿趣味和藝術色彩的 #口罩 分別由 9 位國際知名藝術家創作,分別是 Virgil Abloh、Mark Grotjahn、Alex Israel、Barbara Kruger、小野洋子、Catherine Opie、Pipilotti Rist、Hank Willis Thomas 及 Andy Warhol 視覺藝術基金會。
這是 MOCA 有史以來首個口罩設計項目,並於美國洛杉磯製造,K11 網上商店獨家發售。9款藝術口罩同時會於 K11 MUSEA 2 樓 Gold Ball 作出展覽。有興趣朋友不妨到這裡:https://shop.k11.com/en/eshop/moca 預購,售價為每個港幣 320 元。
barbara kruger 在 Barbara Kruger Unofficial | Facebook 的美食出口停車場
Barbara Kruger Unofficial. 4956 likes · 12 talking about this. This is an unoficial page. I am not Barbara Kruger. I do not know Barbara Kruger. I just... ... <看更多>
barbara kruger 在 Barbara Kruger - YouTube 的美食出口停車場
... <看更多>