BP บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ ที่วันนี้ต้องปรับตัว /โดย ลงทุนแมน
“มากกว่า 600,000 ล้านบาท” คือการขาดทุนในปีล่าสุด ของ British Petroleum หรือเรียกสั้นๆ ว่า BP
หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมน้ำมันของอังกฤษ
หลายคนคงพอรู้กันแล้วว่า ช่วงที่ผ่านมา
อุตสาหกรรมน้ำมันทั่วโลกกำลังเจอความท้าทายอย่างหนัก
ทั้งจากสงครามราคาน้ำมัน การระบาดของโควิด 19
รวมไปถึง แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงาน สู่พลังงานทดแทนในอนาคต
แล้ว BP ในตอนนี้ กำลังเจ็บหนักแค่ไหน
แล้วพวกเขามีแผนรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
British Petroleum หรือ BP เป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ของอังกฤษ
ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1909 หรือ 112 ปีที่แล้ว
ความยิ่งใหญ่ในอดีตที่ผ่านมาของ BP
ทำให้บริษัทถูกจัดอยู่ 1 ใน 7 บริษัทน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของโลก
ร่วมกับ Chevron, Eni, ExxonMobil, Royal Dutch Shell, Total และ ConocoPhillips
ซึ่ง 7 รายที่ว่านี้ ในวงการน้ำมัน เรียกกันว่า “Supermajors”
แต่ในปี 2020 ที่ผ่านมานั้น
ถือว่าเป็นปีที่สร้างความท้าทายให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันอย่างหนัก
เมื่อราคาน้ำมันดิบทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก
ซึ่งเหตุผลหลักเกิดมาจาก
- สงครามราคาน้ำมันระหว่างรัสเซีย และซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020
- การระบาดของโควิด 19 ที่เริ่มหนักขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 2020 มาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม สองเรื่องนี้ อาจดูเป็นผลกระทบเพียงชั่วคราว
เมื่อสงครามน้ำมันคลี่คลาย ราคาน้ำมันก็ดีดตัวกลับมา
และเมื่อสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย ราคาน้ำมันก็คงปรับตัวสูงขึ้นได้อีกครั้ง
แต่เรื่องที่ดูเหมือนจะสร้างความท้าทาย
ให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันมากที่สุดในตอนนี้
คือแนวโน้มของการใช้พลังงานในอนาคตที่กำลังเปลี่ยนไป
ในตอนนี้ ทั่วโลกกำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนผ่าน
เปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานจากน้ำมัน ไปเป็นพลังงานทดแทนมากขึ้น
ซึ่งพลังงานทดแทนในที่นี้ ก็อย่างเช่น พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานจากแสงอาทิตย์
หากเราลองมองย้อนกลับไป ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
รู้ไหมว่า การบริโภคน้ำมันทั่วโลกนั้นเพิ่มขึ้นเพียง 5.7% เท่านั้น
- ปี 2010 การบริโภคน้ำมันทั่วโลกต่อวันเท่ากับ 86.4 ล้านบาร์เรล
- ปี 2020 การบริโภคน้ำมันทั่วโลกต่อวันเท่ากับ 91.3 ล้านบาร์เรล
ส่วนการใช้พลังงานทดแทน ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างเช่น การนำมาผลิตไฟฟ้า
ลองมาดูสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก ที่ผลิตมาจากพลังงานทดแทน
- ปี 2010 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกมาจากพลังงานทดแทน 19%
- ปี 2019 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกมาจากพลังงานทดแทน 27%
และมีการคาดการณ์กันว่า พลังงานทดแทนจะมีสัดส่วนในการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกถึง 45% ในปี 2040
นอกจากนี้ องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ หรือ International Energy Agency
ก็ได้ระบุว่า 90% ของโรงไฟฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั่วโลกในปี 2020 เป็นการใช้พลังงานทดแทน เพื่อมาผลิตกระแสไฟฟ้า
ขณะที่มีเพียง 10% เท่านั้น ที่ยังเป็นการใช้น้ำมัน และถ่านหินมาผลิตไฟฟ้าอยู่
ความท้าทายหลากหลายที่ว่ามานี้
ทำให้บริษัทน้ำมันหลายแห่งกำลังบอบช้ำอย่างหนัก ซึ่งก็รวมทั้ง BP
สะท้อนออกมาที่ผลประกอบการของบริษัท
ที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ผลประกอบการของ British Petroleum
ปี 2018 รายได้ 8.9 ล้านล้านบาท กำไร 2.8 แสนล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 8.3 ล้านล้านบาท กำไร 1.2 แสนล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 5.4 ล้านล้านบาท ขาดทุน 6.1 แสนล้านบาท
ที่น่าสนใจคือ การขาดทุนครั้งนี้
ยังถือเป็นการขาดทุนทั้งปีครั้งแรกในรอบ 10 ปี ของ BP อีกด้วย
พอเป็นแบบนี้ บริษัทจึงจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลงกว่า 10,000 ตำแหน่ง ในปีที่ผ่านมา
การขาดทุนอย่างหนักในปีล่าสุด
รวมทั้งแนวโน้มการลดการพึ่งการใช้น้ำมันในอนาคต
ยังสะท้อนออกมาที่มูลค่าบริษัทของ BP ที่ลดลงมาเหลือเพียง 2.3 ล้านล้านบาท
เทียบกับมูลค่าบริษัทของบริษัท BP เมื่อปี 2010 ที่เคยสูงถึง 4.1 ล้านล้านบาท
หรือหายไปเกือบครึ่งในระยะเวลาประมาณ 10 ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อการใช้พลังงานมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
BP ก็เริ่มตื่นตัว และหันเข้าหาการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น
โดย BP ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพลังงานสะอาด
จาก 15,000 ล้านบาท ในปี 2019 มาเป็น 150,000 ล้านบาท ภายในปี 2030
หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10 เท่า ภายใน 10 ปี ข้างหน้านี้
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า
อนาคตของ BP หลังจากการปรับตัวครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ก็ทำให้เราได้เห็นว่า
ธุรกิจที่เคยครองความยิ่งใหญ่ และรุ่งโรจน์ในอดีต
มันอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดไป ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.bp.com/en/global/corporate/news-and-insights/press-releases/from-international-oil-https://www.statista.com/statistics/271823/daily-global-crude-oil-demand-since-2006/
-https://en.wikipedia.org/wiki/BP
-https://finance.yahoo.com/quote/BP/financials?p=BP
-https://www.ft.com/content/d89f65d1-0c73-4575-aa11-8e770f8d90bd
- https://www.eia.gov/dnav/pet/hist/rbrteD.htm
-https://www.bbc.com/news/explainers-52966609
-company-to-integrated-energy-company-bp-sets-out-strategy-for-decade-of-delivery-towards-net-zero-ambition.html
-https://www.theguardian.com/environment/2020/nov/10/renewable-energy-covid-19-record-growth-2020
-https://www.iea.org/data-and-statistics/charts/shares-of-global-electricity-generation-by-source-2000-2040
-https://www.greentechmedia.com/articles/read/bp-to-invest-5b-a-year-on-low-carbon-and-cut-fossil-fuel-output-by-40-percent-by-2030
「news zero wiki」的推薦目錄:
news zero wiki 在 Sp Saypan Facebook 的最佳貼文
ตอนนี้ PM 2.5 น่ากลัวมาก
ใครอยู่ กทม อย่าลืมใส่หน้ากากกันฝุ่น N95
ทุกครั้งที่ออกจากบ้านนะคะ
คนลอนดอน 12,000 คน เสียชีวิตเพราะ “ฝุ่นควัน” ในปี 1952
.
ปัจจุบันคนกรุงเทพฯ และผู้อาศัยอยู่ในย่านปริมณฑล กำลังวิตกกับสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 หลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มออกมาเตือนภัยเกี่ยวกับ “ผลกระทบด้านสุขภาพ” ที่อาจได้รับจากเจ้าฝุ่นพิษเหล่านี้ ทำเอาหลายคนอาจกลัวว่าบทสรุปของมันจะเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในลอนดอนเมื่อปี 1952 หรือไม่ ?
.
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี 1952 ได้เกิดหมอกควันจำนวนมากปกคลุมทั่วนครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในตอนนั้นผู้คนต่างคิดว่ามันคือ “หมอกหรือควัน” ทั่วไป ๆ ที่เกิดอยู่บ่อยครั้ง แต่มารู้ตัวอีกทีเจ้าหมอกควันเหล่านี้ก็ได้คร่าชีวิตคนไปกว่า 12,000 คนแล้ว ซึ่งทั้งหมดก็มีผลมาจากฝีมือของมนุษย์ล้วน ๆ
.
นี่ก็คือเหตุการณ์ทางมลพิษที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร เหตุการณ์นี้ถูกเรียกชื่อว่า “The Great Smog of London“ หรือ “หมอกซุปถั่ว” (Pea-Soupers) สาเหตุที่เรียกอย่างนั้นเพราะในหมอกเหล่านี้มีลักษณะเป็นสีดำอมเหลืองจากกำมะถันคล้ายกับสีของซุปถั่วนั้นเอง
.
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด “หมอกมรณะ” ในครั้งนี้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ล้วน ๆ ในช่วงเดือนธันวาคมของประเทศอังกฤษจะมีอากาศหนาวเย็นจนผู้คนตามบ้านเรือนและโรงงานถ่านหินต้องมีการเผาถ่านหินมากกว่าปกติเพื่อเพิ่มความอบอุ่น เรียกได้ว่า “ยิ่งหนาวยิ่งเผา” และบวกกับมลพิษที่มาจากควันของบุหรี่และรถยนต์ดีเซล เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
.
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1952 เกิดปรากฏการณ์ “แอนติไซโคลน” (Anticyclone) ใจกลางลอนดอน และท่ามกลางสภาพอากาศที่ไร้ลมรวมเข้ากับควันที่มาจากปล่องไฟต่าง ๆ จึงทำให้ควันจำนวนมากเริ่มก่อตัวกันกลายเป็นหมอกพิษปกคลุมไปทั่วลอนดอน รัฐบาลอังกฤษพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ แต่ทำยังไงเจ้า “หมอกมรณะ” เหล่านี้ก็ไม่สามารถลอยขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศได้สักที
.
หมอกเริ่มปกคลุมไปทั่วทุกที่และอยู่เหนือพื้นดินแค่หลักเมตร การใช้ชีวิตของผู้คนเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนเริ่มมองไม่เห็นเท้าตัวเองหรือแม้กระทั่งไฟหน้ารถคันอื่น การเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะเริ่มทำได้ยากขึ้น กิจกรรมต่าง ๆ อย่างฟุตบอลหรือคอนเสิร์ตต้องถูกระงับ เและไม่นานทัศนวิสัยในการมองของทุกคนก็กลายเป็นศูนย์พร้อมกับสภาพร่างกายที่ทรุดลง
.
เมื่อช่วงปี 1950s โรงงานถ่านหินในลอนดอนและบริเวณใกล้ ๆ อย่างที่ ฟูแลม, แบตเทอร์ซี, กรีนิช และแบงค์ไซด์ มีการปล่อยมลพิษทางอากาศมากกว่า 1,000 ตันต่อวัน ซึ่งมาพร้อมกับก๊าซอันตรายต่อร่างกายอย่าง ซัลเฟอร์ไดออกไซด์และกรดไฮโดรคลอริก
.
ในวันที่ 8 ธันวาคม 1952 สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ท่ามกลางสภาพอากาศเป็นพิษจากซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้ผู้คนเริ่มมีอาการหายใจสั้นและมีปัญหาด้านทางเดินหายใจ และไม่นานก็มีประชาชนเริ่มเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้กว่า 4,000 คนจากโรคหนองในปอด และอีก 100,000 คนป่วยหนักจากโรคทางระบบทางเดินหายใจ
.
เหตุการณ์มรณะในครั้งนี้ลากยาวไปเป็นเกือบสัปดาห์ และในวันที่ 10 ธันวาคม ทุกอย่างก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติหลังหมอกเริ่มจางลงและลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
.
นี่ถือเป็นเหตุการณ์ด้านมลภาวะที่คร่าชีวิตคนอังกฤษมากที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่วิกฤตมลพิษถ่านหินในช่วงศตวรรษที่ 13 และมีผลทำให้รัฐบาลอังกฤษต้องออกกฎหมายจัดการมลพิษทางอากาศฉบับแรกในปี 1956 หรือที่เรียกว่า Clean Air Act 1956
.
จะว่าไปเหตุการณ์นี้ก็เริ่มคล้ายกับสถานการณ์ในบ้านเรามากขึ้นทุกวัน ถ้ายังไม่มีนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดี หรือวันไหนกรุงเทพฯ ดันเกิดปรากฏการณ์ แอนติไซโคลน จนหมอกพิษลอยมาให้เราดมได้ ในอนาคตลูกหลานของเราอาจจะต้องเรียนเรื่อง “The Great Smog of Bangkok“ แทนเรื่องของเมื่อปี 1952 ก็เป็นได้
.
เรื่อง : วิทวัส ปัญญาเลิศวุฒิ
อ่าน “คนลอนดอน 12,000 คน เสียชีวิตเพราะ “ฝุ่นควัน” ในปี 1952” เวอร์ชั่นเว็บไซต์ได้ที่ : https://thepeople.co/great-smog-of-london/
ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Smog_of_London
http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/2542315.stm
http://news.bbc.co.uk/…/decemb…/9/newsid_4506000/4506390.stm
https://www.history.com/…/the-killer-fog-that-blanketed-lon…
#ThePeople #Social #History #GreatSmogofLondon
12,000 London people died because of "smoke dust" in 1952
.
Currently, Bangkok people and residents in perimeter are worried about the dust situation. PM 2.5 after related agencies start warning about "health effects" that may receive from these poisonous dust. Many people may fear that its conclusion. Will it be the same as the incident in London in 1952?
.
Back on December 5, 1952, there was a lot of smog covered in London. At that time, people thought it was a common "smog" that happened, but they were often, but they knew that these haze killed their lives. Over 12,000 people, all of them are made by human skills.
.
This is the worst pollution event in UK's history. The Great Smog of London " aka " Bean Soup Fog " (Pea-Soupers) is called because in these are black. Yellow from sulphur cuddle am similar to the color of pea soup.
.
The main reason why " death fog " is caused by all human hands during the month of England. It will be cold that people in homes and coal factories must be more coal to increase warmth. It is called " The colder " and plus the smoke of cigarettes and diesel cars. Unexpected events happen.
.
Back on December 4, 1952, there was a phenomenon "Anticyclone" (Anticyclone) in the heart of London and in the wind-free weather, combined with the day from the chimney, so many smoke started to become poisonous fog. Covered all over London, the British government tried to fix the situation, but how to do these "death fog" can't go up to the atmosphere.
.
Fog starts to cover everywhere and above the ground. People's living is getting harder and harder. People start to see their feet or other car headlights. Traveling through public transport is getting harder. Activities like football or concerts. Must be suspended and unseen in everyone's sight becomes zero with a body condition.
.
In the 1950 s coal plant in London and near Fulam, Battery, Greenwich, and Banks were more than 1,000 tons of air emissions per day, which comes with harmful gases. Body like cuddle l ferdioxide and hydrochloric acid
.
On December 8, 1952, the situation is getting worse in the middle of the weather conditions from cuddle lfer dioxide, causing people to start having short breathing and respiratory problems. And soon, people started to die from this incident over 4,000 People from gonorrhea and 100,000 others are sick from respiratory disease.
.
This event is almost a week long haul and on December 10th, everything is back to normal. After the fog starts to fade and floating into the atmosphere.
.
This is the pollution th most British life event since the coal pollution crisis in the 13th century, and the British government issued the first air pollution law in 1956 aka Clean Air Act. 1956
.
Btw, this event is getting more similar to our home situation every day. If there is no policy to solve a good problem or any day, it is an anticyclone phenomenon until the poisonous fog floats for us. Our children may have to learn about " The Great Smog of Bangkok " instead of 1952
.
Story: Wittaw cuddle Sapanya Peng wut
Read " 12,000 London people died because of " smoke dust " in 1952 " website version at: https://thepeople.co/great-smog-of-london/
Source: https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Smog_of_London
http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/2542315.stm
http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/december/9/newsid_4506000/4506390.stm
https://www.history.com/news/the-killer-fog-that-blanketed-london-60-years-ago
#ThePeople #Social #History #GreatSmogofLondonTranslated