ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2 /โดย ลงทุนแมน
“ซิลิคอนแวลลีย์ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นวิธีคิด”
คำกล่าวของ Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง LinkedIn แพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตซิลิคอนแวลลีย์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่สถานที่ ซิลิคอนแวลลีย์ คือ พื้นที่หุบเขาราว ๆ 1,500 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบอ่าวซานฟรานซิสโก ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
ซิลิคอนแวลลีย์ประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ ที่ล้วนเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเหล่าบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า “ซิลิคอนชิป” ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นหน่วยความจำของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ส่วนในแง่วิธีคิด มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดปลูกฝังการศึกษาด้านอิเล็กทรอนิกส์ให้งอกงาม ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนากระบวนการผลิตนักศึกษาให้เป็นนักธุรกิจ
จนนำมาสู่การก่อตั้งบริษัทไอทีระดับโลกแห่งแรกในซิลิคอนแวลลีย์ คือ Hewlett Packard (HP)
หลังจากนั้น หุบเขาแห่งนี้ก็เบ่งบานไปด้วยบริษัทไอที ดึงดูดนักประดิษฐ์และผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยีจากทั่วโลก ให้เข้ามาสานฝันให้กลายเป็นความจริง
และเมื่อมี “วิธีคิด” ช่วยส่องสว่าง นวัตกรรมทุกอย่างก็จะมีหนทางไป..
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2
ด้วยอาณาบริเวณกว้างใหญ่รอบอ่าวซานฟรานซิสโก ต้นน้ำแห่งนวัตกรรมของซิลิคอนแวลลีย์จึงไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเท่านั้น
แต่เหนือขึ้นมาราว 50 กิโลเมตร ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และสร้างนักประดิษฐ์ วิศวกร ไปจนถึงผู้ประกอบการชั้นยอดมากมาย มาประดับวงการไอที
หนึ่งในนั้นคือ Fred Moore ผู้ก่อตั้งสมาคมคอมพิวเตอร์โฮมบรูว์ สมาคมที่เป็นสถานที่นัดพบของผู้คลั่งไคล้ในโลกของเทคโนโลยี เป็นที่แลกเปลี่ยนทางความคิด
โดยความปรารถนาสูงสุดของผู้คนในสมาคมนี้ คือการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมาเอง
ในช่วงปี 1975 ที่มีการก่อตั้งสมาคมแห่งนี้
ความสำเร็จของการประดิษฐ์ “ไมโครโพรเซสเซอร์” ที่ย่อส่วนแผงวงจรรวมจำนวนมากเข้ามาอยู่ด้วยกันในชิปขนาดเล็ก
ทำให้ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์จากที่มีขนาดใหญ่โตเท่าห้อง มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ราคาก็ถูกลงเรื่อย ๆ และด้วยหน่วยความจำที่มากขึ้น ความสามารถในการทำงานจึงสูงขึ้นและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
Steve Wozniak นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้ชักชวนเพื่อนสมัยมัธยมที่ชื่อ Steve Jobs ให้มาเข้าร่วมสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งนี้..
Steve Wozniak เป็นผู้คลั่งไคล้ในวิศวกรรมและมีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น เคยทำงานให้กับ Hewlett Packard
ส่วน Steve Jobs เป็นผู้มีหัวการค้า มีนิสัยกล้าคิดกล้าทำ เขาเคยทำงานให้กับบริษัทสร้างวิดีโอเกมชื่อ Atari และเคยทำงานในช่วงฤดูร้อนให้กับ Hewlett Packard ด้วยเช่นกัน
Wozniak ได้นำความรู้และประสบการณ์มาทดลองออกแบบคอมพิวเตอร์ด้วยแนวทางของตัวเอง โดยใช้ชิปเท่าที่จะหาได้ มาประกอบกับคีย์บอร์ด QWERTY และมีจอโทรทัศน์เป็นเครื่องแสดงผลในช่วงแรกเริ่ม
และเมื่อออกมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Jobs ก็เป็นผู้เสนอความคิดให้ลองนำสิ่งประดิษฐ์นี้ออกวางขายในเวลาต่อมา
ผลงานการประดิษฐ์ชิ้นนั้นของ Wozniak ถือเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นแรก ๆ ของโลก เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ถูกตั้งชื่อต่อมาว่า “Apple I”
สิ่งสำคัญไม่แพ้การสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาก็คือ “เสรีภาพทางความคิด”
ซิลิคอนแวลลีย์ มีสมาคมมากมายที่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนทางความคิด นำเสนอไอเดีย จึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำ และเติบโตไปบนหนทางสร้างสรรค์ที่ตัวเองตั้งใจ
คอมพิวเตอร์ของ Wozniak ก็ถูกนำเสนอแก่สายตาสมาชิกในสมาคมโฮมบรูว์ในช่วงปลายปี 1975 ซึ่งหนึ่งในผู้เข้ามาร่วมชม คือ เจ้าของร้าน The Byte Shop ร้านขายของเบ็ดเตล็ดและอุปกรณ์ไอที
ที่เกิดความประทับใจกับคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้มาก จึงได้สั่งซื้อคอมพิวเตอร์นี้ถึง 50 เครื่อง
แล้วก้าวแรกของบริษัท Apple ก็เริ่มต้นขึ้นในเมืองคูเปอร์ติโน ทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอีก 1 ปีถัดมา..
ใครจะไปเชื่อว่า จากบริษัทเล็ก ๆ ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี 2 คน
ในปี 1980 หลังการก่อตั้งเพียง 4 ปี บริษัทสามารถเติบโตจนเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นในฐานะบริษัทมหาชนได้สำเร็จ และได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในตอนนี้..
เมื่อมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว อีกหนึ่งก้าวสำคัญของซิลิคอนแวลลีย์ ก็เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970s
นั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของ “อินเทอร์เน็ต”
เมื่อบริษัทไอที ชื่อ Xerox ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยในเมืองพาโล อัลโต ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชื่อว่า Xerox Palo Alto Research Center หรือ Xerox PARC
Xerox PARC ได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมต่อ จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ในยุคแรกที่มีชื่อว่า ระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet)
อีเทอร์เน็ต ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1973 โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ ผ่านเครือข่ายบริเวณระยะใกล้ หรือเครือข่าย LAN (Local Area Network)
ต่อมาในปี 1978 Vint Cerf ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ร่วมมือกับ Bob Kahn พัฒนาโพรโทคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
ซึ่งโพรโทคอลที่ว่านี้ คือชุดของขั้นตอนและกฎระเบียบ ทำให้ภายในชุดกฎระเบียบเดียวกัน ทั้ง 2 เครื่องจะสามารถเข้าใจระบบของกันและกัน และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
โดยเฉพาะเลข Internet Protocol (IP) ที่เป็นการปูรากฐานให้กับโลกของอินเทอร์เน็ต
อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจะต้องมีเลขนี้ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายรู้จักกัน โดย IP จะระบุว่า เครือข่ายต่าง ๆ ควรเชื่อมโยงกันอย่างไร
เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตถูกปูรากฐาน ต่อมาในยุค 1980s ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
Doug Engelbart นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ได้มาทำงานให้ PARC และได้พัฒนาระบบส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ หรือ Graphic User Interface (GUI)
จากคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่ใช้งานยากและต้องใช้งานผ่านตัวอักษร
ระบบ GUI ได้เข้ามาช่วยเปลี่ยนการใช้งานให้ง่ายขึ้นผ่านทางสัญลักษณ์หรือภาพ เช่น ไอคอน หน้าต่างการใช้งาน เมนู ปุ่มเลือก รวมถึงการพัฒนา “ตัวชี้ตำแหน่ง X-Y” ซึ่งต่อมาก็คือ “เมาส์”
ทั้งระบบ GUI และเมาส์นี่เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Steve Jobs นำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาและเกิดเป็น “Macintosh” ในปี 1984 ซึ่งถือเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรก ๆ ที่มีการออกแบบอย่างเข้าใจผู้ใช้งาน
ในเวลานี้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ครัวเรือนชาวอเมริกันที่ครอบครองคอมพิวเตอร์เพิ่มจากร้อยละ 5 ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s
มาเป็นร้อยละ 20 ในปี 1989
โลกอินเทอร์เน็ตถูกเชื่อมโยงเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเปิดทางให้เกิดการพัฒนา World Wide Web ในช่วงปี 1989 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเมื่อ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ ต้องการส่งข้อมูลให้กับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
World Wide Web, WWW คือ ระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่งข้อมูลที่อยู่ห่างไกลทั่วโลก ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
โดยผ่านซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “เบราว์เซอร์”
แล้ว “สาธารณชน” ในยุค 1990s ก็เข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก!
สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสัดส่วนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี 1996 มีชาวอเมริกันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 16
ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปตะวันตกยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ถึงร้อยละ 5
การเกิดขึ้นของ World Wide Web ทำให้ย่านซิลิคอนแวลลีย์เริ่มคึกคักไปด้วยบริษัทที่มีโมเดลทำรายได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต ขึ้นมามากมาย
และสิ่งสำคัญที่สุด ที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทไอทีในยุค 1950s คือ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ Venture Capital ดึงดูดให้บริษัทสตาร์ตอัปมากมาย หลั่งไหลเข้ามาใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้
นักศึกษาปริญญาเอกสาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 2 คน
คือ Larry Page และ Sergey Brin ได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ Search Engine
โดยใช้การทำงานของ Robot ที่ชื่อว่า Spider ซึ่งเป็นตัวสำรวจข้อมูล เมื่อพบข้อมูลที่ต้องการก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง
ปี 1998 ทั้ง 2 คน ได้ตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “Google” ในเมืองเมนโลพาร์ก และ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้นในอีก 5 ปีถัดมา
แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัท Apple เพราะอีก 20 ปีต่อมา บริษัท Google ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Alphabet ก็ได้กลายมาเป็น บริษัทที่มีมูลค่าเป็นอันดับ 5 ของโลก..
แม้ความรุ่งเรืองจากการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต จะพาซิลิคอนแวลลีย์เข้าสู่การเติบโตที่รวดเร็วเกินไปจนเกิดวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 จนสร้างความเสียหายหลายบริษัทและนักลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งนั้น ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี ณ หุบเขาแห่งนี้ได้
หลังจากวิกฤติไม่นาน ก็มีการพัฒนาระบบ IPv6 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน IP ช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น นอกเหนือจากเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งปูทางมาถึงการเกิดขึ้นของ “สมาร์ตโฟน” โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถในการใช้งานมัลติมีเดีย และเชื่อมต่อเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ตอย่างไร้รอยต่อ ด้วยระบบ IPv6
หนึ่งในสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ iPhone จากบริษัท Apple ที่เปิดตัวในปี 2007
เช่นเดียวกับ Google ที่ได้เข้าซื้อบริษัท Android และเปิดตัวโทรศัพท์แอนดรอยด์ในปี 2008
และทั้งสองก็แข่งขันกันพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเอง
เมื่อผู้คนเริ่มใช้สมาร์ตโฟนมากขึ้น นำมาสู่การเกิดขึ้นของ “Application” ซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อช่วยการทำงานต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน
โดยแอปพลิเคชัน จะมีส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) หรือ UI เพื่อเป็นตัวกลางในการใช้งานให้ราบรื่น
และด้วยความที่ซิลิคอนแวลลีย์เต็มไปด้วย Venture Capital ที่คอยให้เงินทุนสนับสนุนไอเดียล้ำ ๆ
หุบเขาแห่งนี้ จึงยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัทใหม่มากมาย โดยเฉพาะบริษัทที่จะมาสร้างสรรค์เครือข่ายสังคมออนไลน์..
ปี 2003 LinkedIn เกิดแพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน
ก่อตั้งโดย Reid Garrett Hoffman วิศวกรที่เคยทำงานให้กับ Apple
ปี 2004 เกิด Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก
ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการคิดค้นวิธีการเชื่อมผู้คนในรูปแบบใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของ Mark Zuckerberg พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน
ปี 2006 หลังออกจากมหาวิทยาลัย Jack Dorsey พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน
ได้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร
โดยคิดค้นชื่อที่มาจากคำว่า Tweet ซึ่งแปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก และบริษัทนี้มีชื่อว่า Twitter
ปี 2009 เกิด WhatsApp แอปพลิเคชันในการติดต่อสื่อสารด้วยข้อความ ก่อตั้งโดย Jan Koum โปรแกรมเมอร์ที่เห็นประโยชน์จากการเกิดขึ้นของสมาร์ตโฟน
บริษัททั้งหมดล้วนมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์
หุบเขาแห่งเทคโนโลยีแห่งนี้ยังคงดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้าไปเติมเต็มความฝัน เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ไอทีที่ไฮเทคขึ้นเรื่อย ๆ
และเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกของเครือข่ายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเชื่อมต่อกันและกัน หรือเรียกว่า “Internet of Things” ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิต
ความสำเร็จของอุตสาหกรรมไอทีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจของโลก ล้วนมีที่มาจากหลายปัจจัย
ทั้งระบบการศึกษาที่เข้มแข็ง ที่สร้างองค์ความรู้และช่วยวางรากฐานสู่โลกธุรกิจ
วัฒนธรรมแห่งเสรีภาพ ที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
แหล่งเงินทุน ที่เข้าถึงง่ายและมีหลากหลายรูปแบบ
และเครือข่ายผู้คิดค้นนวัตกรรมที่เติมเต็มความฝันต่อยอดกันไปไม่รู้จบ
หากถามว่า อิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาจะคงอยู่อีกนานแค่ไหน ?
เมื่อไรที่มนุษย์จะหยุดฝัน เมื่อนั้นอาจเป็นคำตอบ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-มิเชลล์ ควินน์, เมื่อซิลิคอนแวลลีย์เติบใหญ่ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2562
-https://www.parc.com/about-parc/parc-history/
-https://www.internetsociety.org/wp-content/uploads/2017/09/ISOC-History-of-the-Internet_1997.pdf
-https://searchnetworking.techtarget.com/definition/TCP-IP
-https://www.lifewire.com/transmission-control-protocol-and-internet-protocol-816255
-https://tradingeconomics.com/united-states/personal-computers-per-100-people-wb-data.html
-https://www.businessinsider.com.au/highest-valued-public-companies-apple-aramco-biggest-market-cap-2020-1
-https://www.forbes.com/profile/reid-hoffman/#5f276ca61849
-http://startitup.in.th/the-rags-to-rich-jan-koum-whatsapp-co-founder-startup-story/
-https://www.set.or.th/set/enterprise/html.do?name=vc
同時也有3部Youtube影片,追蹤數超過42萬的網紅APPDAYS,也在其Youtube影片中提到,สวัสดีครับทุกคน... แน่นอนว่าคลิปนี้มีหลาย ๆ ส่วนที่ไม่น่าจะดีอยู่ ในส่วนต่าง ๆ ผมขอชี้แจงหน่อยนะครับ 1. เวลาที่ลงช้ากว่ากำหนด ความตั้งใจแรกผมว่งไว้...
ไอคอน คือ 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最佳解答
Anna Wintour ผู้บริหารหญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุด ผู้กุมบังเหียนบงการกำหนดทิศทางโลกแฟชั่น
.
แม้ผู้หญิงจะเป็นของคู่กับแฟชั่น แต่รู้หรือไม่? ว่าผู้อยู่เบื้องหลังในวงการและธุรกิจแฟชั่น ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายแทบจะทั้งหมด อย่างแบรนด์ดังระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Chanel, Dior และ Louis Vuitton ก็มีผู้กุมบังเหียนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น การที่แบรนด์ไหนหรือธุรกิจไหนจะมีผู้นำเป็น “ผู้หญิง” จึงนับว่าแตกต่างและท้าทายเอามากๆ เพราะมีความเชื่อที่ว่า ผู้หญิงไม่สามารถทำธุรกิจได้ดีเท่าผู้ชาย!
.
ซึ่งนั่นไม่เป็นความจริง เพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้หญิงก็สามารถทำธุรกิจและประสบความสำเร็จ พาแบรนด์ไปสู่ระดับโลกได้ คนๆนั้นก็คือ “แอนนา วินทัวร์” (Anna Wintour) หรือฉายา “ราชานีน้ำแข็ง” หนึ่งในผู้บริหารหญิงที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในวงการแฟชั่น ทั้งยังเป็นคนที่กำหนดทิศทางแฟชั่นในแต่ละปี อุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามากกว่าสามพันล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะฉะนั้น หากใครที่มีเคยสงสัยว่า เทรนด์แฟชั่น ที่เปลี่ยนไปในทุกๆ ปี ใครเป็นผู้กำหนด คำตอบก็คือ เธอคนนี้นี่แหละ
.
กว่าสามทศวรรษที่ผ่านมา เธอได้ทำงานอย่างหนักภายใต้บริษัทกองเด นาสต์ ด้วยการเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสารโว้ก สหรัฐอเมริกา (VOGUE US) พ่วงกับอีกสองตำแหน่ง คือ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์บริษัทกองเด นาสต์ และที่ปรึกษาทิศทางเนื้อหาสาระบริษัทกองเด นาสต์ ซึ่งไม่เพียงแต่ตำแหน่งภายในบริษัทเท่านั้น ทั้งความสามารถที่เก่ง ผลงานที่โดดเด่น และชื่อเสียงโด่งดังของเธอ ทำให้เธอกลายเป็นเซเลบริตี้ ไอคอน รวมถึงไอดอลของสาวๆสายแฟทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
.
ซึ่งกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ ไม่ง่ายเลยสำหรับผู้หญิงหนึ่งคนที่ต้องผ่านคำสบประมาท คำดูถูก รวมถึงตำแหน่งหน้าที่ที่ยังมีผู้ชายอีกมากอยากโค่นล่มและขึ้นมาแทนที่เธอตลอดเวลา เหมือนกับว่าเธอต้องยืนอยู่ในสนามรบที่นับวันจะเข้มข้นและดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าเธอมีเคล็ดลับหรือเทคนิคอะไร ทำไมเธอถึงยังสามารถยืดหยัดอยู่บนตำแหน่งได้นานหลายสิบปี
.
แม้จะขึ้นชื่อเรื่องความเยอะ เรื่องมาก ขี้บงการ ขี้เหวี่ยงขี้วีน เข้มงวด แต่ด้วย “ความฉลาด ทะเยอทะยาน เป็นตัวของตัวเอง มีไหวพริบ กล้าเสี่ยง ไม่ปิดกั้นความรู้ใหม่ๆ และรู้ทิศทางของสังคมว่ากำลังไปในทางไหน เป็นข้อดีที่ทำให้ไม่ว่าเธอจะทำอะไร สิ่งๆ นั้นจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงและโด่งดังเสมอ เห็นได้จาก ปก VOGUE สหรัฐอเมริกา เล่มแรกที่เธอเป็นผู้ดูแล เธอเลือกรูปนางแบบ มิเคลา เบอร์กู สวมใส่กางเกงยีนส์ Guess พร้อมกับสเวตเตอร์ปักรูปไม้กลางเขนเอวลอย ด้วยความเป็นสตรีทสไตล์ รูปนี้จึงกลายเป็นเสน่ห์ของแฟชั่นในทุกวันนี้
.
หรือแม้แต่ตอนที่เธอเลือกเอาดาราฮอลลีวูดมาขึ้นปกครั้งแรก แม้โดนกระแสโจมตีอย่างหนัก เนื่องจากทุกเล่มที่ผ่านมาเป็นนางแบบทั้งหมด แต่เมื่อยอดขาย VOGUE เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลังจากนั้นได้มีการนำดารามาขึ้นปกมากขึ้น จนเป็นต้นแบบของปกในปัจจุบัน เรียกได้ว่า “เธอแหกทุกกฎที่ VOGUE เคยมีมา” เลยทีเดียว ซึ่งนั่นแหละ ทำให้ VOGUE เป็นนิตยสารแฟชั่นขวัญใจวัยรุ่นตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา
.
นอกจากนี้ ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานานระหว่างที่ทำงานในแวดวงแฟชั่น รวมถึงใครๆ ต่างอยากรู้เคล็ดลับความสำเร็จของเธอ เพราะคนส่วนใหญ่มีเธอเป็นต้นแบบและอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเหมือนกับเธอ เธอจึงได้นำเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาแชร์ให้กับทุกคนได้เรียนรู้ในคลาสเรียนออนไลน์ของเธอ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ
“การที่คุณจะเป็นผู้นำคนอื่นได้ คุณต้องมีคนที่สามารถช่วยผลักดันคุณไปข้างหน้า ไม่ใช่คนที่จะผลักดันคุณถอยหลังกลับ”
“การจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพได้ สิ่งสำคัญคือ คุณต้องฟังพวกเขา มันสำคัญมากถ้าคุณล้อมรอบไปด้วยทีมที่ดี ซึ่งกล้าแสดงความคิดเห็น และไม่กลัวที่จะไม่เห็นด้วยกับคุณ”
.
อีกทั้งเธอยังแนะนำว่า ในการทำงานบางครั้งคุณอาจต้องแหกกฎเดิมๆ บ้าง เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ๆ ที่อาจจะดีกว่าเดิม รวมถึง หากต้องการเป็นผู้นำ ต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า คุณ คือ ผู้นำ ไม่ใช่ ผู้ตาม ถ้าวอกแวก หรือเอนเอียงตามคนอื่น จะทำให้คุณสูญเสียความชัดเจนในความคิดและความเป็นตัวเอง
.
แม้ แอนนา วินทัวร์ ดูจะเป็นคนที่เต็มไปด้วยความสำเร็จ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะทำถูกทุกครั้ง หรือไม่เคยทำผิดพลาดเลย เพราะหลายครั้งการตัดสินใจของเธอก็มักสร้างปัญหาและกระแสโจมตีอย่างหนักเหมือนกัน แต่ที่เธอผ่านมันมาได้ทุกครั้ง เพราะเธอยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง พร้อมกับหาวิธีแก้ไขปัญหาและสถานการณ์อย่างดีที่สุด
.
ที่มา : https://www.entrepreneur.com/article/359454
https://www.vogue.co.th/master-class-with-anna-wintour
https://thepeople.co/anna-wintour-work-hard/
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#AnnaWintour #VOGUE #US #Fashion #Women
#วงการแฟชั่น #ธุรกิจแฟชั่น #Business
ไอคอน คือ 在 BorntoDev Facebook 的精選貼文
🔥 เคล็ดลับการใช้ไอคอนในการออกแบบกราฟิก
.
😎 เราควรจะใช้ไอคอนแบบไหนดี!! เพื่อน ๆ เคยสงสัยมั้ยว่า ไอคอนที่ใช้ในการออกแบบกราฟิกมีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน และ เราควรใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกไอคอนให้ผลงานของเราออกมาสวยงาม
.
💻 ไอคอน คือ ภาพกราฟิกชนิดหนึ่งที่สามารถใช้เพื่อแทนคำพูดหรือประโยค ให้กระชับและเข้าใจง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ไอคอนยังช่วยเสริมให้งานของเรามีความสวยงามกว่างานที่มีแต่ข้อความปกติเพียงอย่างเดียว
.
📞 แอดมินขอยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเจอไอคอนรูปโทรศัพท์มือถือ ทุกคนจะเข้าใจว่าเป็นเบอร์ติดต่อ โดยที่เพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ตัวอักษรอื่นลงไป
.
ในวันนี้แอดจะมาบอกเคล็ดลับการเลือกใช้ไอคอนกันว่าเราควรเลือกใช้อย่างไร ? เพื่อน ๆ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานกราฟิกให้ออกมาดูดีได้ ถ้าพร้อมแล้วไปดูพร้อมกันเลยครับ
.
#borntoDev - 🦖 สร้างการเรียนรู้ที่ดีสำหรับสายไอทีในทุกวัน
ไอคอน คือ 在 APPDAYS Youtube 的最佳貼文
สวัสดีครับทุกคน...
แน่นอนว่าคลิปนี้มีหลาย ๆ ส่วนที่ไม่น่าจะดีอยู่
ในส่วนต่าง ๆ ผมขอชี้แจงหน่อยนะครับ
1. เวลาที่ลงช้ากว่ากำหนด ความตั้งใจแรกผมว่งไว้คือ คืนวันอาทิตย์ที่ 21/2/21 เลขสวย ๆ เลย แต่ด้วยเวลาว่างของ 2 ทั้งสองที่อาจไม่พร้อมกัน เลยทำให้ล่าช้าไปพอสมควร นั่งตัดต่อแก้ไขเรนเดอร์รวม 2 วัน
2. คุณภาพของภาพฝั่ง APPDAYS คือ ทีแรกผมไม่ได้คิดจะเปิดหน้า แต่มานั่งคิดว่า อยากให้การตอบคำถามดูจริงใจเลยเปิด ปรากฎว่าเราทดสอบระบบหลาย ๆ อย่างจนกล้องผมแบตหมด (กล้องที่มากับคอมก็ไม่ค่อยชัด) เลยต้องใช้กล้องหน้ามือถือ ที่เป็นตัวเลือกสุดท้ายแทน แล้วพอเปลี่ยนกล้องก็จัดไฟไม่ทัน เพราะเกรงใจพี่บอมด้วย เพราะตอนทดสอบก็เกือบชม.ได้
3. คุณภาพเสียงไมค์ APPDAYS คือ ปัญหานี้ผมพึ่งมารู้ตอนที่อัดเสียงเสร็จแล้ว พึ่งรู้ว่า ผมพูดห่างจุดรับเสียงไมค์ไปหน่อย เพราะส่วนตัวไม่ค่อยได้เปิดกล้อง เลยอยากจะมองกล้องด้วย คำถาม และหน้าพี่บอม (มือใหม่หัดเปิดกล้อง 555) โฟกัสไม่ทันครับ มันปุ๊บปั๊บด้วย
4. ความยาวของคลิป ทีแรกเรา 2 คนตั้งใจจะตอบสั้น ๆ ให้จบใน 10 นาที แต่พูดเก่งทั้งคู่ (นี่พยายามไม่นอกเรื่อง พยายสมเบรกกันแล้วนะครับ) ถ้าฟังแล้วเพลินชอบเราก็ยินดี เพราะส่วนตัวเราเพลินและสนุกกันมาก
ส่วนอื่น ไม่แน่ใจมีอีกไหม ก็สามารถติชมกันได้ครับ เรา 2 คนยินดีปรับปรุงแก้ไขครับ
(หลักก็น่าจะผมนี่แหละ รนไปหมด)
ขอบคุณทุกคน และพี่บอมด้วยนะครับ
แล้วเจอกัน ยังมีอีกเยอะที่เรา 2 คนจะทำร่วมกัน
ฝากติดตามพวกเราทั้ง 2 คนด้วยนะครับ
.
สมัครเป็นสมาชิก เพื่อสนับสนุนช่อง : https://www.youtube.com/channel/UCAbWdcdo1a2vX8RK8xOTSPQ/join
Download :
ios : https://apps.apple.com/th/app/efootball-pes-2020/id1117270703?l=th
android : https://play.google.com/store/apps/details?id=jp.konami.pesam&hl=th
Contact :
Facebook - https://www.facebook.com/iappdays/
Email - jamesx2u@gmail.com
#APPDAYS
#bomzaghi4
ไอคอน คือ 在 Bearhug Youtube 的最佳貼文
ขอบคุณ Toyota นะค๊า ที่เชิญแบร์ฮักมาเที่ยวสนุกมากๆ
อันนี้เป็น link detail นะ ใครอยากมาก็มาเที่ยวได้เลยที่ไอคอนสยามชั้น 3 และ 4 ถ้ามาเราแนะนำให้เล่น VR360 มากๆ สนุกดี 55555
https://www.toyota.co.th/toyotaalivespace/?fbclid=IwAR3ljv5UOWIq38J3pLwCjeP28nBd57MDaA_dltTVKzps4tl0wEj0UzMMNQU
**สำหรับเสนอไอเดีย หรือแนะนำสถานที่**
https://goo.gl/forms/1H9Sazow2Tkmt3kU2
ทุกคลิปมี subtitle ภาษาอังกฤษนะ กด CC ได้เลย (ซับจะมาหลังจากคลิปปล่อยแล้ว 3 วันจะ)
▲ กดติดตามเพื่อชมคลิปใหม่ๆ : https://goo.gl/igfco3
▲ FANPAGE : https://goo.gl/EsLz8e
▲ IG : Sunbeary
▲ IG : Kan_Atthakorn
▲ Line Sticker
▲ Sunbeary : https://line.me/S/sticker/1786390
▲ KNN kanninich : https://line.me/S/sticker/1787921
อีเมล์สำหรับติดต่องาน
[email protected]
แชแนล Bearhug คือแชแนล Vlog ที่ประกอบด้วยพิธีกรหลัก 2 คน คือ
"ซารต์ Sunbeary" สาวน้อยอดีตนักบัญชีผู้ชื่นชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจ มีความรักในการท่องเที่ยวผจญภัย รักการออกอีเวนท์ และรักการ(โดน)ถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ เพราะความสามารถในการบริหารการเงินบริษัทที่เหนือมนุษย์ ทำให้ทุกคนขนานนามซารว่า "ท่าน CEO"
"กานต์ Atthakorn" ผู้ชายหน้านิ่งผู้ถูกให้ฉายาว่าปากสุนัขที่สุดในสามโลก ชื่นชอบการทำงานเบื้องหลังอยู่หลังกล้อง รักการศึกษานวัตกรรม และการอัพเดทความรู้รอบตัว เพื่อพัฒนาตัวเอง
ไอคอน คือ 在 Bearhug Youtube 的最佳貼文
กว้างใหญ่มากกกกกกกจริงๆ
ถ้ามีโอกาสลองมาเดินหาของกินดูนะ
นี่เรายังเดินไม่ครบเลยย หมดเวลาถ่ายซะก่อน ฮือออ
**สำหรับเสนอไอเดีย หรือแนะนำสถานที่**
https://goo.gl/forms/1H9Sazow2Tkmt3kU2
ทุกคลิปมี subtitle ภาษาอังกฤษนะ กด CC ได้เลย (ซับจะมาหลังจากคลิปปล่อยแล้ว 3 วันจะ)
▲ กดติดตามเพื่อชมคลิปใหม่ๆ : https://goo.gl/igfco3
▲ FANPAGE : https://goo.gl/EsLz8e
▲ IG : Sunbeary
▲ IG : Kan_Atthakorn
▲ Line Sticker
▲ Sunbeary : https://line.me/S/sticker/1786390
▲ KNN kanninich : https://line.me/S/sticker/1787921
อีเมล์สำหรับติดต่องาน
[email protected]
แชแนล Bearhug คือแชแนล Vlog ที่ประกอบด้วยพิธีกรหลัก 2 คน คือ
"ซารต์ Sunbeary" สาวน้อยอดีตนักบัญชีผู้ชื่นชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจ มีความรักในการท่องเที่ยวผจญภัย รักการออกอีเวนท์ และรักการ(โดน)ถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ เพราะความสามารถในการบริหารการเงินบริษัทที่เหนือมนุษย์ ทำให้ทุกคนขนานนามซารว่า "ท่าน CEO"
"กานต์ Atthakorn" ผู้ชายหน้านิ่งผู้ถูกให้ฉายาว่าปากสุนัขที่สุดในสามโลก ชื่นชอบการทำงานเบื้องหลังอยู่หลังกล้อง รักการศึกษานวัตกรรม และการอัพเดทความรู้รอบตัว เพื่อพัฒนาตัวเอง