Watchmen (สามารถดูได้ใน HBO GO)
เป็นซีรีส์ที่ต้องใช้ความอดทนให้ผ่านช่วงแรกสักหน่อย พอเข้าสู่ตอน 6 ปุ๊บ เครื่องติดอีกเลเวลนึงเลย ตัวซีรีส์มันอ้างอิงตอนจบจากฉบับกราฟฟิคโนเวลมาต่อยอดใหม่เป็นอีเว้นต์ 34 ปีต่อมาหลังจากฝนหมึกที่คร่าชีวิตคนบนโลกกว่า 3 ล้านคน (แต่จริง ๆ ถ้าเคยดูหนังมาก่อนแล้วหาอ่านตอนจบที่แตกต่างกันก็พอได้อยู่) พวกแต่งคอสตูมใส่หน้ากากเป็นศาลเตี้ยกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่กลายเป็นว่าที่เมืองทัลซ่าดันมีพวกกลุ่มเซเว่น คาวัลรี่ ที่เชิดชูคนผิวขาวแต่งหน้ากากเลียนแบบรอร์สชาช ออกฆ่าตำรวจพร้อมกันในคืนหนึ่งจนทำให้หลังจากนั้นตำรวจต้องใส่หน้ากากปกปิดตัวตนจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ซึ่งช่วงแรกของซีรีส์ชวนงงพอสมควรว่าใครเป็นใคร ทำไมเป็นแบบนั้น แต่พอเข้าช่วงท้ายที่เริ่มเฉลยทุกอย่างปุ๊บนี่ต้องยกนิ้วให้การเขียนบทเลย
.
ถ้าให้แยกเป็นตอนออกมา ส่วนตัวยกให้ตอน A God Walks into Abar คือ the best of the best ของการเล่าซีรีส์สักตอนเลย มันเป็นตอนที่เติมเรื่องราวของดร.แมนฮัตตัน หลังสหรัฐฯ ชนะสงครามเวียดนาม ความพิเศษของตอนนี้คือการเล่าแบบไม่เรียงลำดับเวลา ซึ่งดร.แมนฮัตตันอยู่เหนือกาลเวลาอีก สามารถรู้อนาคต สื่อสารกับอดีตพร้อมปัจจุบันแม้จะอยู่ต่างดวงดาวต่างสถานที่ได้พร้อมกัน การเล่าตอนนี้เลยต้องเขียนบทซีรีส์ให้เนี้ยบและคมกริบทุกรายละเอียด หลายสิ่งที่ชวนสงสัยตั้งแต่เปิดซีรีส์ตอนแรก ๆ ก็ทยอยใส่คำตอบเข้ามาในตอนนี้ ทั้งเรื่องเอเดรียน ไวด์ต กับปราสาทยุโรปยุคเก่าของเขา, เรื่องการตายของหัวหน้าตำรวจ เป็นตอนที่เขียนบทดีมาก
.
ขณะเดียวกันฉบับซีรีส์ก็ขยายความ Who watches the watchmen ออกมาอีกขั้น ในเวอร์ชั่นหนัง/กราฟฟิคโนเวล เหล่าฮีโร่ใต้หน้ากากที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาทำหน้าที่เป็นศาลเตี้ย เริ่มถูกต่อต้านจากประชาชนว่าใช้อำนาจจากไหนในการจัดการคนผิด ซึ่งแตกต่างจากขั้นตอนตามกฎหมายที่อำนาจมาจากรัฐธรรมนูญ มีขั้นตอนทั้งตำรวจทั้งศาล แต่พวกมินิตเมนคือเกิดขึ้นมาเพื่อเล่นงานคนที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ ด้วยวิธีที่รุนแรงจนถึงจุดหนึ่งที่คนส่วนใหญ่หวาดกลัวเพราะภายใต้หน้ากากฮีโร่ก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา ผิดพลาดได้ แถมไม่มีใครตรวจสอบได้อีก สุดท้ายคนก็เริ่มหวังพึ่งพระเจ้าแบบดร.แมนฮัตตัน เพียงแต่เขาปลีกวิเวกไปสร้างโลกในอุดมคติที่อื่นเสียแล้ว
.
แต่ถามว่าเราจะไว้ใจมอบพลังอำนาจระดับดร.แมนฮัตตันให้ใครเป็นผู้ควบคุมโลกเพื่อความสงบสุขหรือไม่ มันก็มีตัวอย่างให้เห็นเต็มไปหมดแล้วว่าความสงบสุขแท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นจากการสร้างความหวาดกลัวขึ้นมา ลองนึกง่าย ๆ ว่าดินแดนแห่งหนึ่งมีคนที่มีอำนาจไร้เทียมทาน ทุกคนต้องก้มหัวให้เพราะไม่มีทางสู้ เราคิดว่าตัวเองจะปลอดภัยได้จริงเหรอ ในเมื่ออำนาจของเขาไม่มีใครไปตรวจสอบหรือเอาชนะได้ เขาอาจจะเริ่มต้นด้วยการใช้พลังปราบคนชั่ว ปกครองโลกให้เป็นสุข แต่ความเป็นมนุษย์ทำให้เขามีดีมีชั่ว มีเหลิงอำนาจ มีรักโลภโกรธหลง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพลังไม่ได้ถูกใช้กำจัดคนที่คิดต่อต้านหรือลดพลังอำนาจของเขา สุดท้ายการไม่มีอำนาจระดับนั้นดูจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด พอ ๆ กับการได้เห็นคนทำผิดต้องถูกลงโทษแม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นเจตนาหวังผลลัพธ์ดีก็ตาม
.
สิ่งที่เราชอบ Watchmen ฉบับซีรีส์มาก ๆ คือการที่มันไปแตะต้องกราฟฟิคโนเวลขึ้นหิ้งแล้วทำออกมาด้วยความเคารพทั้งสไตล์ ไอเดีย และเส้นเรื่องสำคัญ เรายังได้เห็นความฉลาดของโอซีแมนเดียส และหลักการที่เขาเชื่อว่าจะนำไปสู่โลกในอุดมคติที่ปราศจากความขัดแย้ง, ได้เห็นดร.แมนฮัตตัน พยายามเป็นมนุษย์ปกติแม้จะมีพลังเทียบชั้นพระเจ้า, ยังคงเห็นความขัดแย้งและความเกลียดชังภายใต้โลกหลังฝนหมึก ที่ทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ ยังคงทำงานโดยอ้างหลักการปกครองควบคุมบังหน้า และตัวซีรีส์ก็มีหลายตอนที่ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเทพ ๆ อย่าง A God Walks into Abar ที่เราอวยไป, ไหนจะตอน This Extraordinary Being ที่การรับรู้ความทรงจำของคนอื่นถูกเล่าด้วยการหมุนกล้องสลับตัวตนไปมาแทนภาพของการเข้าไปสวมความรู้สึกห้วงเวลานั้น
.
เอาเป็นว่าใครชอบ Watchmen เดิมอยู่แล้ว มาดูเวอร์ชั่นซีรีส์ไม่มีผิดหวังแน่นอน
Creator: Damon Lindelof (ผู้ร่วมสร้าง The Leftovers, Lost)
9 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 60 นาที)
A
#หนังโปรดxซีรีส์HBO
แมนฮัตตัน คือ 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳貼文
Watchmen (สามารถดูได้ใน HBO GO)
เป็นซีรีส์ที่ต้องใช้ความอดทนให้ผ่านช่วงแรกสักหน่อย พอเข้าสู่ตอน 6 ปุ๊บ เครื่องติดอีกเลเวลนึงเลย ตัวซีรีส์มันอ้างอิงตอนจบจากฉบับกราฟฟิคโนเวลมาต่อยอดใหม่เป็นอีเว้นต์ 34 ปีต่อมาหลังจากฝนหมึกที่คร่าชีวิตคนบนโลกกว่า 3 ล้านคน (แต่จริง ๆ ถ้าเคยดูหนังมาก่อนแล้วหาอ่านตอนจบที่แตกต่างกันก็พอได้อยู่) พวกแต่งคอสตูมใส่หน้ากากเป็นศาลเตี้ยกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่กลายเป็นว่าที่เมืองทัลซ่าดันมีพวกกลุ่มเซเว่น คาวัลรี่ ที่เชิดชูคนผิวขาวแต่งหน้ากากเลียนแบบรอร์สชาช ออกฆ่าตำรวจพร้อมกันในคืนหนึ่งจนทำให้หลังจากนั้นตำรวจต้องใส่หน้ากากปกปิดตัวตนจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ซึ่งช่วงแรกของซีรีส์ชวนงงพอสมควรว่าใครเป็นใคร ทำไมเป็นแบบนั้น แต่พอเข้าช่วงท้ายที่เริ่มเฉลยทุกอย่างปุ๊บนี่ต้องยกนิ้วให้การเขียนบทเลย
.
ถ้าให้แยกเป็นตอนออกมา ส่วนตัวยกให้ตอน A God Walks into Abar คือ the best of the best ของการเล่าซีรีส์สักตอนเลย มันเป็นตอนที่เติมเรื่องราวของดร.แมนฮัตตัน หลังสหรัฐฯ ชนะสงครามเวียดนาม ความพิเศษของตอนนี้คือการเล่าแบบไม่เรียงลำดับเวลา ซึ่งดร.แมนฮัตตันอยู่เหนือกาลเวลาอีก สามารถรู้อนาคต สื่อสารกับอดีตพร้อมปัจจุบันแม้จะอยู่ต่างดวงดาวต่างสถานที่ได้พร้อมกัน การเล่าตอนนี้เลยต้องเขียนบทซีรีส์ให้เนี้ยบและคมกริบทุกรายละเอียด หลายสิ่งที่ชวนสงสัยตั้งแต่เปิดซีรีส์ตอนแรก ๆ ก็ทยอยใส่คำตอบเข้ามาในตอนนี้ ทั้งเรื่องเอเดรียน ไวด์ต กับปราสาทยุโรปยุคเก่าของเขา, เรื่องการตายของหัวหน้าตำรวจ เป็นตอนที่เขียนบทดีมาก
.
ขณะเดียวกันฉบับซีรีส์ก็ขยายความ Who watches the watchmen ออกมาอีกขั้น ในเวอร์ชั่นหนัง/กราฟฟิคโนเวล เหล่าฮีโร่ใต้หน้ากากที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาทำหน้าที่เป็นศาลเตี้ย เริ่มถูกต่อต้านจากประชาชนว่าใช้อำนาจจากไหนในการจัดการคนผิด ซึ่งแตกต่างจากขั้นตอนตามกฎหมายที่อำนาจมาจากรัฐธรรมนูญ มีขั้นตอนทั้งตำรวจทั้งศาล แต่พวกมินิตเมนคือเกิดขึ้นมาเพื่อเล่นงานคนที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ ด้วยวิธีที่รุนแรงจนถึงจุดหนึ่งที่คนส่วนใหญ่หวาดกลัวเพราะภายใต้หน้ากากฮีโร่ก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา ผิดพลาดได้ แถมไม่มีใครตรวจสอบได้อีก สุดท้ายคนก็เริ่มหวังพึ่งพระเจ้าแบบดร.แมนฮัตตัน เพียงแต่เขาปลีกวิเวกไปสร้างโลกในอุดมคติที่อื่นเสียแล้ว
.
แต่ถามว่าเราจะไว้ใจมอบพลังอำนาจระดับดร.แมนฮัตตันให้ใครเป็นผู้ควบคุมโลกเพื่อความสงบสุขหรือไม่ มันก็มีตัวอย่างให้เห็นเต็มไปหมดแล้วว่าความสงบสุขแท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นจากการสร้างความหวาดกลัวขึ้นมา ลองนึกง่าย ๆ ว่าดินแดนแห่งหนึ่งมีคนที่มีอำนาจไร้เทียมทาน ทุกคนต้องก้มหัวให้เพราะไม่มีทางสู้ เราคิดว่าตัวเองจะปลอดภัยได้จริงเหรอ ในเมื่ออำนาจของเขาไม่มีใครไปตรวจสอบหรือเอาชนะได้ เขาอาจจะเริ่มต้นด้วยการใช้พลังปราบคนชั่ว ปกครองโลกให้เป็นสุข แต่ความเป็นมนุษย์ทำให้เขามีดีมีชั่ว มีเหลิงอำนาจ มีรักโลภโกรธหลง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพลังไม่ได้ถูกใช้กำจัดคนที่คิดต่อต้านหรือลดพลังอำนาจของเขา สุดท้ายการไม่มีอำนาจระดับนั้นดูจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด พอ ๆ กับการได้เห็นคนทำผิดต้องถูกลงโทษแม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นเจตนาหวังผลลัพธ์ดีก็ตาม
.
สิ่งที่เราชอบ Watchmen ฉบับซีรีส์มาก ๆ คือการที่มันไปแตะต้องกราฟฟิคโนเวลขึ้นหิ้งแล้วทำออกมาด้วยความเคารพทั้งสไตล์ ไอเดีย และเส้นเรื่องสำคัญ เรายังได้เห็นความฉลาดของโอซีแมนเดียส และหลักการที่เขาเชื่อว่าจะนำไปสู่โลกในอุดมคติที่ปราศจากความขัดแย้ง, ได้เห็นดร.แมนฮัตตัน พยายามเป็นมนุษย์ปกติแม้จะมีพลังเทียบชั้นพระเจ้า, ยังคงเห็นความขัดแย้งและความเกลียดชังภายใต้โลกหลังฝนหมึก ที่ทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ ยังคงทำงานโดยอ้างหลักการปกครองควบคุมบังหน้า และตัวซีรีส์ก็มีหลายตอนที่ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเทพ ๆ อย่าง A God Walks into Abar ที่เราอวยไป, ไหนจะตอน This Extraordinary Being ที่การรับรู้ความทรงจำของคนอื่นถูกเล่าด้วยการหมุนกล้องสลับตัวตนไปมาแทนภาพของการเข้าไปสวมความรู้สึกห้วงเวลานั้น
.
เอาเป็นว่าใครชอบ Watchmen เดิมอยู่แล้ว มาดูเวอร์ชั่นซีรีส์ไม่มีผิดหวังแน่นอน
Creator: Damon Lindelof (ผู้ร่วมสร้าง The Leftovers, Lost)
9 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 60 นาที)
A
#หนังโปรดxซีรีส์HBO