ว่าด้วยความช้าของวงการฟิตเนสไทย Part.6 'การนินทา และความเกรงใจที่สื่อไม่ได้'
มีใครทราบไหมครับว่า คำว่า 'เกรงใจ' ในภาษาอังกฤษ แปลว่าอะไร ให้เวลาคิด .....
ติ้กต่อก ติ้กต่อก
ติ้กต่อก
ติ้ก
หมดเวลา
ตอบ
ไม่มีคำแปลครับ
ไม่มีคำแปลหมายความว่ายังไง หมายความว่า ยากมากที่จะมีคนเข้าใจศัพท์คำว่าเกรงใจ ต้องใช้เป็นพหุคำเช่น ' I don't want to bother you' ซึ่งความหมายก็จะไม่ตรงกับคำว่า 'เกรงใจ' ซะทีเดียว ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าประเทศที่แปลคำว่าเกรงใจได้ จะเกรงใจเสมอไป แล้วไม่ได้หมายความว่า ประเทศที่แปลคำว่าเกรงใจไม่ได้ จะไม่เกรงใจเสมอไป
ก็นั่นอีกแหละ สมัยที่เรียนโทอยู่สวิสเซอร์แลนด์ วิชา Sociology ประเทศไทยถูกจัดในหมวดหมู่ประเทศที่เป็น Feminine ไม่ใช่ประเทศที่เป็น Masculine หมายความว่า เป็นประเทศผู้ตาม ไม่มีปากไม่มีเสียง ไม่กล้าเปิดเผย อนุรักษ์นิยม อย่างมากก็เออๆออๆไปตามเรื่อง และได้แต่เก็บเงียบ ไม่ค่อยเปิดเผยความคิดเห็นของตนในที่สาธารณะ แต่จะเก็บไปเล่าให้บุคคลที่สนิทใจฟัง หรือว่า นินทานั่นเอง
ตอนที่เรียน Psychology ที่สวิสเช่นกัน ได้มีโอกาสทำรีเสิชเรื่อง 'Asian Gossip Culture' ซึ่งกลายมาเป็นหัวข้อย่อยหนึ่งในวิทยานิพนธ์ของผมนั้น กล่าวคร่าวๆสืบเนื่องจากว่า ความไม่มั่นใจในตนเองของคนไทยและประเทศแถบเอเชีย จากที่เคยเขียนบทความถึงเรื่อง การอนุมัติ (Authority) สังคมเราต้องการคนอื่น (Others) มารองรับและยอมรับ (Acceptance) ในความเป็นตัวตนของเรา ซึ่งความที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หมู่คณะ เพื่อตอบสนองความต้องการลึกๆตรงนี้ กลับกลายเป็นว่าผสมผสมกับความไม่มั่นใจในตนเองในกลุ่ม การนินทาจึงเหมือนเป็นการสำเร็จความใคร่ทางจิตใจอย่างนึง (Mind-Masturbation) และการที่สมาชิกในกลุ่มได้เห็นร่วมไปในทางเดียวกันกับเรา ยิ่งถือเป็นการถึงจุดสุดยอดทางตัวตน (Self-Image Orgasm) และเกิดการยอมรับในกลุ่มของตนมากขึ้น เกิดเป็นตัวกูของกู เกิดการยอมรับในกลุ่ม เกิดการมีอิทธิพลอำนาจกลวงๆขึ้นมา
ทีนี้ทำไมสองนิสัยนี้ถึงมีความสำคัญอะไรกับความช้าของการพัฒนาวงการฟิตเนสไทย (และประเทศไทย)
1. ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าอยากออกกำลังกาย จึงได้มีการตัดสินใจสมัครคอร์สเทรนเนอร์ (ใช่สิ หาความรู้และแรงบันดาลใจเองมันยากนี่) แต่เนื่องด้วยเกิดอาการไม่มั่นใจในตนเอง เก้ๆกังๆที่จะออกกำลังกายครั้งแรก ทำถูกบ้างผิดบ้าง ต่างฝ่ายต่างเกรงใจกันไปกันมา ไม่กล้าถาม ไม่กล้าบอก จึงได้แต่ ชมว่า 'เก่งมากคับ ดีมากทำถูกแล้ว' ไอ้ห่ากูนั่งดูมึงสอนกันผิดอยู่มีงยังจะบอกว่าถูก ผิดก็คือผิดสิวะ จะไปบอกถูกได้ยังไง แต่ฝ่ายเทรนเนอร์อาจจะด้วย มาตรฐานไม่ถึง และด้วยความเกรงใจ ไม่กล้าตำหนิ เนื่องจากได้มีการกลัว เสีย Self ว่า ตัวเองสอนไม่ดี สอนไม่ถูกต้อง เกรงใจเงินที่ลูกค้าจ่ายมาแล้ว ลูกค้าทำไม่ได้ก็ไม่กล้าบอก เกิดการเพิกเฉยต่อเนื่อง จนไม่เกิดการพัฒนา
2. ฝ่ายลูกค้าเองก็เกรงใจกันไปกันมา ไม่กล้าบอกว่า เฮ้ย กูว่ามันแปลกๆว่ะที่มึงสอนมา ทำไมกูรู้สึกเหมือนเข่ากูจะพัง หลังกูจะหัก ทำไมอะไรคือการที่กูต้องมานั่งชั่งตวงอาหารเป็นกรัม พ่อแม่ให้กำเนิดกูมา 30 ปี ไม่เคยสั่งเคยสอนให้กูชั่งอาหาร ทำไมกูต้องมาทำ กูก็ใช้ชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ แข่งก็ไม่ได้แข่ง ประกวดก็ไม่ได้ประกวดถ่ายรูปกูไปลงเฟสอีกบอกว่า 'ลูกเทรนผม กับการบ้านของเขา' แต่ก็ไง พอโพสลงสังคม Social แล้วเกิดอาการถึงจุดสุดยอดทางตัวตนว่า (Self-Image Orgasm) เฮ้ย มีคนมากด Like แสดงว่าสิ่งที่กูทำมันต้องถูกต้องแน่ๆ สิ่งที่เทรนเนอร์สอนกูมันต้องถูกต้องแน่ๆ เพราะคนกดไลค์เยอะมาก
3. ฟิตเนสไอดอลลงท่าออกกำลังกายผิดๆในโลกโซเชียล แต่เหล่า Follower ก็เกรงใจที่จะบอกว่า เออ มันดูไม่ค่อยถูก มันดูไม่ค่อย Healthy เลย ก็เกรงใจหน้าตาตัวเองว่า จะเป็นความคิดเห็นที่แตกแยกหรือไม่ เพราะคนส่วนใหญ่เค้ากด Like กัน ไม่มีการติเพื่อก่อที่แท้จริง
ป่าวเลย ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ สังคมเราขาดตรงนี้ มันมาเป็นรากฐาน ตั้งแต่เรื่องตัวตนและความมั่นใจตัวเองแล้ว ต้องรอให้คนมาอนุมัติการกระทำของตนเอง โดนเฉพาะ 'คนอื่น'
ทีนี้นิสัยนินทาก็ไม่ต่างกันมาก เป็นเรื่องรากฐานของสังคมที่อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ ไม่ได้รับการยอมรับทางสังคมเช่น
จับกลุ่มกันดึงคนอื่นลง รวมกลุ่มกันเนื่องด้วยตัวเองทำเป้าหมายที่ต้องการกระทำไม่ได้ ความพยายามอะไรต่างๆนาๆไม่มากพอก็ว่าไป เช่นลดน้ำหนักยังไงก็ไม่ได้ ตัวใหญ่ยังไงก็ไม่เท่า หุ่นดีก็ไม่เท่า พอเห็นคนอื่นทำได้ ได้ดีกว่า เกิดอาการแทนที่จะพัฒนาตนเอง แต่ด้วยรูปสังคมและอุปนิสัยของสังคมนั้น ต้องได้รับการยอมรับจากกลุ่มมาก่อน จึงเกิดการจับกลุ่มนินทาว่าร้ายนำตนเองเปรียบเทียบกับผู้อื่น ไม่พอ ยังจะดึงสมาชิกในกลุ่มให้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เป็นธรรมดาของผู้ที่สภาพจิตใจอ่อนแอ ใครเล่าเรื่องคนอื่นให้ฟัง ก็จะเกิดความสำคัญตัวเองว่า 'เออมันมาเล่าเรื่องนี้ให้กูฟัง มันต้องไว้ใจกูแน่ๆ' สรุปแล้วก็ไม่มีใครพัฒนาตนเองจริงๆจังๆสักที มีแต่สำเร็จความใคร่ทางความคิดไปวันๆ ว่า " เออ พอใจละ มีพวกละ กูไม่จำเป็นต้องดีก็ได้ "
สองนิสัยนี้ชี้ให้เห็นถึงรากฐานทางความคิดของผู้คนในแถบเอเชียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่แค่ประเทศไทยแต่เป็นมากในประเทศรอบๆที่เป็น Feminine Country โดยยากมากแก่การที่จะแก้ไขในส่วนนี้ ทำให้วงการฟิตเนสซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยอยู่แล้ว ช้ามากเข้าไปอีก
เพราะความที่เราต้องการยอมรับจากคนส่วนมาก ต้องการให้ใครมา 'อนุมัติ' การกระทำของเรา โดยที่เราไม่สนเลยว่า มันเป็น การกระทำที่ก่อให้เกิดการพัฒนา (Productive Action) หรือไม่
ที่เขียนให้อ่านเนี่ย
เขียนให้คิด
ไม่ได้เขียนแบบเกรงใจหรอกนะ
#KnowledgeisPower
#TeamHeroAthletes
「เกรงใจ ปี」的推薦目錄:
- 關於เกรงใจ ปี 在 Hero Athletes Facebook 的最佳貼文
- 關於เกรงใจ ปี 在 JamesRuangsak.co.th Facebook 的最讚貼文
- 關於เกรงใจ ปี 在 fluke - alwaysfluke.com Facebook 的最佳貼文
- 關於เกรงใจ ปี 在 เกรงใจ feat.โดม : RAPTOR | THE NEXT [Official MV] - YouTube 的評價
- 關於เกรงใจ ปี 在 Raptor Evolution 25 ปี ไม่มีเกรงใจ - บูธ ประกันภัยไทยวิวัฒน์ 的評價
เกรงใจ ปี 在 JamesRuangsak.co.th Facebook 的最讚貼文
วงการเพลงเมืองไทยโดยเฉพาะในยุค 90 นอกจากจะเป็นช่วงพีคของตลาดเพลงในบ้านเราแล้ว ยังถือเป็นทำเลทองของวงการโฆษณาอีกด้วย โดยเฉพาะการมีโลโก้สินค้าบนปกเทป ว่ากันว่า ถ้าเป็นเทปนักร้องที่โด่งดัง แบบชนิดสามารถการันตียอดขายได้แล้วล่ะก็ ราคาค่าโฆษณามีสิทธิ์เหยียบหลักล้านบาทเลยทีเดียว
ในยุคนั้น สินค้าประเภทเดียวกันแต่ต่างยี่ห้อ จึงจับจองศิลปินและค่ายเพลงกันอย่างดุเดือด สมัยที่ฟิล์มสียังคงได้รับความนิยม แกรมมี่นำพี่เบิร์ดมาเป็นฟรีเซ็นเตอร์ฟูจิ ทางฝั่งโกดักคู่แข่งตัวฉกาจ ก็หันไปสนับสนุนศิลปินค่ายคีตา ได้มีโลโก้ขึ้นหน้าปกเทปก็หลายคนเช่น นีโน่ , อ้อม สุนิสา
น้ำอัดลมโค้กกับเป๊ปซี่ อันนี้ชัดสุดมาแต่ไหนแต่ไร คาราบาวในชุดเมดอินไทยแลนด์ ให้แกรมมี่เป็นผู้จัดจำหน่าย ตั้งแต่นั้นมาภาพคาราบาวกับโค้กแยกกันไม่ออกเลย นี่ยังไม่รวมอัสนี & วสันต์ และพี่เบิร์ดในช่วงชุดแรกๆที่มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้โค้กอีกด้วยนะ
แต่ว่าจริงๆแล้ว โค้กก็เคยให้การสนับสนุนศิลปินฝั่งอาร์เอสมาก่อน เช่น รวมดาว ชุดที่ 2 และ วงคีรีบูน แต่ภาพความสัมพันธ์ของโค้กกับอาร์เอส จะไม่เด่นชัดเท่าอาร์เอสกับเป๊ปซี่ ( ยุคหนึ่งพรีเซนเตอร์เป๊ปซี่ จะเป็นพี่ปุ๊ อัญชลี )
จนกระทั่งถึงเวลาที่สปอนเซอร์ไม่ได้สนับสนุนศิลปินแค่โฆษณาบนปกเทปอย่างเดียวอีกต่อไป แต่สปอนเซอร์ได้เข้าไปห่อหุ้มตัวศิลปินทั้งอัลบั้ม ไม่ว่าจะการแต่งตัว สีสันเสื้อผ้า รวมไปถึงมิวสิควิดีโอ เรียกว่าเหมาทั้งชุด
ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดตรงจุดนี้ ก็คืออัลบั้ม The Next อัลบั้มเฉพาะกิจของค่ายอาร์เอส ( เริ่มโปรโมทช่วงปลายปี 2540 ) ซึ่งเวลานั้นสายงานการตลาด อยู่ในความดูแลของคุณอนิรุทธิ์ มหธร ( ขณะนั้นอายุเพียง 29 ปี จากเป๊ปซี่ )
“ หน้าที่ของผมคือ ต้องดูภาพรวมของสินค้าประเภทเครื่องดื่มทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเป๊ปซี่ มิรินด้า หรือเซเว่นอัพ ตอนนั้นมีกระแสเจเนอเรชั่นเน็กซ์ ที่เริ่มเข้ามาในไทยตั้งแต่ต้นปี 1997 เราก็คุยกันเองในที่ประชุมก่อน ว่าอยากจะสร้างจุดขายให้กับสินค้า แต่ไม่อยากเอาแค่ศิลปินเดียว เราอยากได้เป็นอัลบั้มพิเศษ ประกอบกับเป๊ปซี่ เป็นพันธมิตรกับอาร์เอส ซึ่งผลิตเพลงเจาะตลาดวัยรุ่นอยู่แล้วด้วย โอกาสจึงเป็นไปได้สูง ที่จะเกิดโปรเจ็คพิเศษ เพื่อตอกย้ำคอนเซ็ปต์ เจเนอเรชั่นเน็กซ์นี้ ”
“ หลังได้บทสรุปในที่ประชุมแล้ว จึงประสานงานไปยังอาร์เอส แล้วอธิบายคอนเซ็ปต์ว่าเจเนอเรชั่นเน็กซ์คืออะไร อยากให้คอนเซ็ปต์นี้ผ่านเข้าไปในอัลบั้มได้อย่างไร ผ่านบทเพลงแนวไหน โลกของเจเนอเรชั่นเน็กซ์ต้องห่วงใยสิ่งแวดล้อม ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยนะ ดังนั้นศิลปินที่เลือกมาต้องยิ่งใหญ่ รวมตัวเรียกว่าระดับเกรดเอ เพราะเราอยากให้เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริงๆ ”
“ แม้การลงทุนครั้งนี้ จะต้องใช้เงินหลายสิบล้านบาท แต่ผลที่ได้รับกลับมา ต้องถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะนอกจากยอดขายเป๊ปซี่จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณแล้ว การจัดคอนเสิร์ตแต่ละครั้งที่ใช้เป๊ปซี่เป็นส่วนลดในการซื้อบัตร ก็เต็มทุกรอบ ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ 2 รอบในกรุงเทพ หรือในจ.เชียงใหม่ สนามที่ถือว่าปราบเซียนในอดีต ก็สร้างปรากฎการณ์ดึงคนดูมาได้นับหมื่นชีวิต ”
“ หลังจากอัลบั้ม The Next วางแผงได้ประมาณ 1 ปี ในปีถัดมา ( 2542 ) เป๊ปซี่และอาร์เอสก็ส่งอัลบั้มชุดที่ 2 ของโปรเจ็คนี้ตามมาทันทีในชื่อ “ The X-Venture ” ตอกย้ำภาพวัยรุ่นยุคใหม่ ให้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก ด้วยยอดขายเกินล้านตลับเช่นกัน พร้อมกับการสร้างปรากฎการณ์หน้าใหม่ ที่ต้องบันทึกไว้ในวงการเพลงสากลเมืองไทยอีกเป็นคำรบที่สอง ”
*** คุณอนิรุทธิ์ มหธร จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากอเมริกา โดยก่อนจะมาอยู่กับบริษัท เป็ปซี่โคล่า ประเทศไทย จำกัดนั้น เค้าเคยเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดให้บริษัท ยูนิลิเวอร์ ( ประเทศไทย ) จำกัด มาก่อน ***
*** ศิลปินเกรดเอ ที่อาร์เอสคัดสรรลงอัลบั้ม The Next มีด้วยกัน 8 ชีวิต ได้แก่ ลิฟท์-ออย , จอนนี่-หลุยส์ ( แร็พเตอร์ ) , เจอาร์-วอย , เจมส์ เรืองศักดิ์ และ โดม ปกรณ์ ลัม โดยมีเพลงที่โด่งดังหลายเพลง เช่น “ เกรงใจ ” โดย แร็พเตอร์ ( feat. โดม ปกรณ์ ลัม ) และ หลบหน่อย (พระเอกมา) โดย เจอาร์-วอย ***
*** สำหรับศิลปินในอัลบั้มชุดที่ 2 “ The X-Venture ” มีศิลปินเดิมจาก The Next มา 4 คน ได้แก่ โดม , เจมส์ , เจอาร์ และวอย และมีศิลปินหน้าใหม่ ที่เพิ่งมีผลงานอัลบั้มแรกในปี 2541 อีก 4 คน ได้แก่ ราฟฟี่ - แนนซี่ , โมเม และเอิร์น โดยมีเพลงที่โด่งดังหลายเพลง เช่น ดีมากเลย ” ร้อง Battle กันโดย เจมส์ และ โดม และ ชอบคืนนี้ โดย เอิร์น - โมเม - แนนซี่ ***
ขอขอบคุณ : หนังสือ " กว่าจะเป็น..อาร์เอส "
#หวัดแกมบรรจง
#เพจนี้ก็เหมือนปลามันมีเกร็ด
#เพจนี้ก็เหมือนจิวเวอร์รี่มันมีมุก
เกรงใจ ปี 在 fluke - alwaysfluke.com Facebook 的最佳貼文
ของดีหลบมุม
ปีที่แล้วมีลูกบ้านขอให้รีวิวร้านอาหารแถวพระรามสามอีก เพิ่งเจอร้านถูกใจครับ ร้านนี้เป็นสไตล์บาร์นะครับ แต่งแบบฝรั่งมาก ร้านเล็ก ๆ ก่อนถึงปากซอย ที่จอดรถหายากนิดนึงครับ ต้องจอดริมทางเอา แต่ที่อยากชมเลยคือคุณภาพของวัตถุดิบครับ วันนี้สั่งเซอร์ลอยน์มาลอง ต้องบอกว่า อร่อยกระทั่งมะเขือเทศเลยทีเดียว ผักสดกรอบ น้ำเกรวี่ที่มาเพื่อเสริมรสชาติของเนื้อสเต็กจริง ๆ ไม่แย่งซีน
ที่สำคัญ เนื้อสเต็ก พระเอกของเรา เนื้อละมุนครับ นุ่มนวล ไม่เหนียว กัดเข้าไปแล้วมันฉ่ำ นวดลิ้นดีมาก มันบดก็ไม่ได้เป็นแค่ตัวประกอบนะครับ เค้าแห้งพอดี ๆ เนื้อร่วนและเกาะกันกำลังดี
ที่อยากพูดถึงอีกอย่างคือ ด้วยความที่ร้านเล็ก ทางร้านเลยสามารถใส่ใจกับลูกค้าได้ทั่วถึงจริงๆ ครับ บริการดีมากจนรู้สึกเกรงใจซะเอง ใครผ่านมาแถวนี้ นี่เป็นอีกจุดการที่ควรแวะเลยครับ
#พี่สุชาติรีวิว
เกรงใจ ปี 在 Raptor Evolution 25 ปี ไม่มีเกรงใจ - บูธ ประกันภัยไทยวิวัฒน์ 的美食出口停車場
RAPTOR EVOLUTION 25 ปี ไม่มีเกรงใจ พิเศษ พบกันที่บูธ #ประกันภัยไทยวิวัฒน์ - รับป๊อปคอร์น ฟรี!!! - พร้อมร่วมสนุก กับเกมเต้น มันส์แบบยกก๊วน... ... <看更多>
เกรงใจ ปี 在 เกรงใจ feat.โดม : RAPTOR | THE NEXT [Official MV] - YouTube 的美食出口停車場
... โดม ปกรณ์ ลัม แร็พเตอร์, ลิฟท์-ออย และเจอาร์ วอย ออกจำหน่ายในช่วงปลาย ปี 2540 จุดเด่นของอัลบั้มมีเพลงที่แต่ละศิลปินร่วมกัน Feat. ... <看更多>