13 พฤษภาคม 2019 เป็นวันที่ผมเริ่มสร้างเพจสมองไหล แต่มาลงบทความแบบสม่ำเสมอจริงๆ ก็ช่วงเดือนกันยายน เพราะตอนนั้นผมให้ความสำคัญกับใน Blockdit เสียมากกว่า
.
จนปัจจุบันเพจสมองไหลมีอายุประมาณ 2 ปี กับผลลัพธ์ที่ได้คือ การมีผู้ติดตามมากกว่า 500,000 คน รวมทุกช่องทาง และสามารถทำเงินจากเพจได้สูงสุด 5 ล้านบาท ภายใน 1 ปี (เริ่มทำเงินในปีที่ 2) ทั้งจากการขายหนังสือ สปอนเซอร์ พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และ ด้านการศึกษา
.
ทั้งนี้ผมต้องถือโอกาสขอบคุณแฟนเพจทุกท่าน ที่สนับสนุนผมจนถึงวันนี้ เพราะถ้าไม่มีคุณ ก็ไม่มีผมวันนี้เช่นกัน คุณคือ คนที่ผม “นึกถึง” ก่อน “ลูกค้า” เสมอ...
.
“ถ้าเราทำคอนเทนต์ดี เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินยิง Ads แม้แต่บาทเดียว”
.
นี่คือ คำสั้นๆ ที่กลั่นมาจากประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้มาทั้งหมดจากการทำเพจมาตลอด 2 ปี แล้วในคำสั้นๆ ที่ว่านี้ มันมีอะไรที่คนกำลังเริ่มต้นทำเพจ ทำสื่อ ทำธุรกิจ หรือ ขายออนไลน์ สามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง ผมจะเล่าให้ฟัง…
.
หลายคนเข้าใจว่าการยิง Ads สามารถเพิ่มยอดขายได้ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนก็รู้แล้วว่ามันไม่เป็นความจริง
.
การยิง Ads ก็เหมือนการที่เราจ้างคนแจกใบปลิว ไปแจกลูกค้า ยิ่งยิงมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับการจ้างหลายคนมากเท่านั้น
.
แต่คำถาม คือ การมีคนแจกเยอะ ช่วยเพิ่มยอดขายจริงๆ หรอ ?
.
คำตอบ คือ “ไม่”
.
เพราะตัวตัดสินว่าลูกค้าจะซื้อของๆ คุณหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “คนแจกใบปลิว” แต่ขึ้นอยู่กับตัวใบปลิว ซึ่งก็คือ “คอนเทนต์” ต่างหาก
.
ถ้าคอนเทนต์ คุณดึงดูดมากพอลูกค้าก็จะเดินมาที่หน้าร้านเพื่อซื้อของคุณจากที่อยู่ในใบปลิวนั้น หรือ ไม่ก็เอาไปส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูอีก เปรียบเหมือนการ “แชร์”
.
แต่ถ้าคอนเทนต์ที่คุณทำออกมามันไม่สามารถทำให้ลูกค้าอยากซื้อได้ ต่อให้มีคนแจกใบปลิวมากเท่าไหร่ หรือแจกสักกี่ใบ ลูกค้าก็เอาไปทิ้งถังขยะ ซึ่งเปรียบเหมือนการ “เลื่อนผ่าน” อยู่ดี
.
ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องกลับมาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การทำ “คอนเทนต์” เมื่อทำคอนเทนต์ได้อย่างทรงพลังแล้ว การยิง Ads หรือ การจ้างคนแจกใบปลิวถึงจะใช้ได้ผล
.
.
# แต่ก่อนจะทำคอนเทนต์ เราต้องเข้าใจก่อนว่าคอนเทนต์นั้นมีกี่ประเภท ซึ่งโดยหลักแล้วมันจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
.
1) Topical Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์ที่ทำออกมาตามกระแสต่างๆ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเหตุการณ์ข่าวสารในแต่ละวัน ว่าอะไรที่เขากำลังฮิต อะไรที่คนพูดถึงในช่วงนี้ และต้องลงให้ถูกจังหวะเวลาด้วย คือ ถ้าช้าเพียง 1 ชั่วโมง ก็อาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว ซึ่งข้อดีของมันคือเรียก Traffic ได้ดีมาก แต่ข้อเสียของมันคือ มันอยู่ได้ไม่นาน ใช้ได้ครั้งเดียว ผ่านแล้วก็ผ่านไป
.
คนที่ติดตามผมมาตลอดจะรู้ว่าผมไม่ค่อยทำคอนเทนต์ประเภทนี้สักเท่าไหร่ อาจจะมีบ้างบางครั้ง แต่ไม่บ่อย
.
2) Evergreen Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์แนว ความรู้, ปรัชญา, How to ข้อดีของมันคือมันจะไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา แม้จะผ่านไป 1 วัน 1 เดือน 1 ปี ก็ยังสามารถอ่านได้ไม่มีเบื่อ และนำมาใช้ได้จริงในชีวิตเสมอ แต่คอนเทนต์ประเภทนี้ถ้าไปลงในช่วงที่มีกระแสเรื่องอื่นอยู่ อาจจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก และทำยากกว่าแบบเเรกมาก
.
ซึ่งผมจะทำคอนเทนต์ประเภทนี้เป็นหลัก
.
3) Value Content หรือ คอนเทนต์แบบเน้นคุณค่า นี่คือ สุดยอดคอนเทนต์เลยก็ว่าได้ เพราะมันคือการนำ 2 ข้อแรกมาผสมผสานกัน จึงทำให้คอนเทนต์แบบนี้สามารถเรียกได้ทั้งกระแส และ มีการสอดเเทรกความรู้ลงไปด้วยไม่ให้เสื่อมค่าตามการเวลา ทำให้คอนเทนต์มีความสมบูรณ์แบบและเป็นอมตะ แต่ประเด็นคือ มันทำโคตรยาก เพราะต้องทำให้มันทั้งมีคุณค่าและถูกที่ถูกเวลาด้วย แต่ถ้าทำได้ บอกเลยว่าผลของมันคุ้มค่ามากๆ
.
ซึ่งผมเคยทำคอนเทนต์แบบนี้ได้ประมาณ 10 ครั้ง ตลอด 2 ปี เช่น คอนเทนต์เรื่อง ทิลลี่ สมิธ ช่วยคนชาวจังหวัดไม้ขาวให้รอดชีวิตจากสึนามิ และ เผยแพร่ในวันรำลึกสึนามิพอดี ซึ่งผลลัพธ์ของมันคือ บทความนี้ได้ถูกหยิบยกไปในรายการข่าวใส่ไข่ ทางช่องไทยรัฐทีวี
.
ส่วนอีกเรื่องคือ บทความ ประวัติศาสตร์โรคระบาดร้ายแรง ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 100 ปี เผยแพร่ในช่วงไวรัส covid-19 ระบาดแรกๆ ซึ่งผลของมันคือ คุณหนุ่มกรรชัย เชิญผมไปออกรายการโหนกระแส ทางช่อง 3 จากบทความนี้
.
รวมทั้งบทความอื่นๆ อย่าง คนขับรถของลีกาซิง, โรงงานผลิตยาสีฟัน, เด็กอเมริกันจะหยุดเรียน 2 ปี เพื่อค้นหาตัวเองก่อนเข้ามหาลัย, จุดประสงค์ที่แท้จริงของเทศกาล 11.11 ของอาลีบาบา และธนบัตรญี่ปุ่น ที่มีผู้แชร์มากกว่า 20,000 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้ยอดการติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 3,000 เป็น 150,000 คนภายใน 4 เดือน
.
# ทำคอนเทนต์เพื่อให้คน "กดแชร์" มากกว่าแค่ "กดไลค์"
.
เป้าหมายในการทำคอนเทนต์ของผม คือ การทำให้คนแชร์มากกว่าคนกดไลค์ และเเน่นอนว่าการทำให้คนแชร์นั้นยากกว่ายอดกดไลค์อยู่แล้ว เพราะผมเชื่อเสมอว่า การที่คนยอมกดแชร์คอนเทนต์เราออกไปหมายความว่า เขาอยากจะบอกต่อคอนเทนต์นั้น ซึ่งสำหรับผมมันมีคุณค่ามากกว่าการที่เขาแค่กดไลค์หรือชอบมันเพียงคนเดียว
.
แต่ก่อนที่เราจะทำคอนเทนต์ให้คนแชร์ได้ เราต้องรู้เหตุผลที่ทำให้คนแชร์คอนเทนต์ของเราก่อน ซึ่งหลักๆ มันมีอยู่ 5 อย่าง คือ
.
1) ภาพลักษณ์ทางสังคม การที่เขาแชร์อะไร หน้าฟีตของเขา มันต้องทำให้เขามีภาพลักษณ์ดีขึ้น เพราะคงไม่มีใครอยากแชร์อะไรที่ทำให้คนอื่นมองตัวเองไม่ดีอยู่แล้ว
.
2) ตัวกระตุ้น คือ บทความที่ช่วยกระตุ้นให้เขาได้ฉุกคิดหรือลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างได้ ซึ่งมันคือ คอนเทนต์สั้นๆ ที่ผมลงทุกเช้า ให้คุณได้อ่านก่อนออกไปทำงาน เพื่อช่วยกระตุ้นและให้กำลังใจคุณ ซึ่งคนมักจะแชร์เสมอ
.
3) อารมณ์ความรู้สึก คือ อ่านแล้วเกิดอารมณ์ร่วม ส่วนใหญ่เป็นบทความแนวเรื่องเล่า
.
4) ความมีประโยชน์ อันนี้ชัดเจน ถ้ามีประโยชน์ใครๆ ก็อยากแชร์ไว้ให้ตัวเองอ่านซ้ำๆ หรือ อยากส่งต่อมันให้คนอื่น
.
5) เป็นเรื่องเล่า เพราะธรรมชาติของคนชอบเรื่องเล่ามากที่สุด และสิ่งที่คนจดจำได้ดีที่สุดคือเรื่องเล่า และเรื่องเล่าเป็นสิ่งที่คนชอบนำไปเล่าต่อ
.
ผมใช้หลักการนี้ในการทำคอนเทนต์เสมอ นั่นจึงทำให้ถึงแม้บางคอนเทนต์จะเป็นโฆษณา แต่คนก็ยังอยากจะแชร์มันอยู่ดี
.
.
# พาดหัว คือ “จุดชี้เป็นชี้ตาย” ของคอนเทนต์ เพราะมันคือตัวตัดสินว่าคนจะหยุดอ่านคอนเทนต์ของเราหรือไม่ ?
.
นี่ คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญ 70% เลยก็ว่าได้ เพราะคนจะอ่านตรงนี้ก่อน ถ้ามันไม่โดนใจ เนื้อหาดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
.
ซึ่งพาดหัวนั้นมีส่วนประกอบอยู่ 2 อย่างหลักๆ คือ “ตัวอักษร” และ “ภาพ” ต้องผสมผสานระหว่างสองอย่างนี้ให้ลงตัว
.
ซึ่งการคิดคำพาดหัวนั้นบอกเลยครับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากใช้เทคนิคแล้ว ต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย บอกเลยว่าตรงส่วนนี้ผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 นาที กว่าจะคิดคำพาดหัวที่สมบูรณ์แบบออกมาได้
.
และสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ผู้อ่านมีเวลาแค่ 2 วินาทีเท่านั้น ในการตัดสินว่าจะอ่านคอนเทนต์ของเราหรือเลื่อนผ่านไป ซึ่งสิ่งที่ตัดสินก็คือ “พาดหัว” เพราะฉะนั้น เราต้องตอบให้ได้ ผู้อ่านจะได้อะไรจากคอนเทนต์ของเรา ใส่มันลงไปในพาดหัวให้ได้
.
แล้วสิ่งที่เราต้องการสื่อทั้งหมด ค่อยมาใส่ตรง “เนื้อเรื่อง”
.
และสุดท้าย คอนเทนต์ของเรามีผลกระทบอะไรกับผู้อ่านบ้าง ใส่ลงไปใน “สรุป” ช่วงท้าย
.
ทั้งหมดนี้ คือ เทคนิคที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในการทำเพจได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณามากมาย เพราะต่อให้ยิง Ads หนักแค่ไหน แต่ถ้าคอนเทนต์ไม่ดี คนก็เลื่อนผ่านอยู่ดี...
.
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ผมไปเอามาจากไหน ?
.
คำตอบ คือ ผมไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด หรือ รู้ด้วยตัวเองทั้งหมดหรอกครับ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันเกิดจากการฝึกฝน การลองผิดลองถูก และ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาตลอด 2 ปี
.
แต่ถ้าอาศัยแค่การลองผิดลองถูกอย่างเดียว มันก็คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ เพราะเราต้องนั่งงมไปกับสิ่งที่ไม่รู้ ลองโดยไม่มีเป้าหมาย ซึ่งมันเสียเวลามากๆ
.
แต่โชคดีที่ตอนทำงานประจำผมรู้จักกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์ด้านนี้มา 8 ปี เป็นเจ้าของเพจชื่อดังที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้าน ซึ่งคอยสอน คอยชี้แนะ ให้คำปรึกษา บอกเป้าหมายที่จะต้องเดินไป มันจึงทำให้เส้นทางการลองผิดลองถูกของผมนั้น ไม่ค่อยจะพลาดเป้า และ เสียเวลามากนัก
.
ผมกล้าพูดเลยว่า ถ้าไม่มีพี่คนนี้ ก็คงไม่มีผม ไม่มีสมองไหล และ ไม่มีหนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจ เช่นกัน เพราะหลายสิ่งที่ผมทำ ผมได้เรียนรู้มาจากเขาเกือบทั้งหมด
.
เพราะจริงๆ แล้วชีวิตคนเราไม่ได้ยาวพอที่จะเสียเวลาเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะการลองผิดลองถูกแบบไม่มีเป้าหมาย มันอาจจะนานกว่าที่คิด
.
และ แน่นอนว่า คุณเองก็คงไม่อยากเป็นคนที่ลองผิดลองถูกเองแบบไม่มีเป้าหมาย ทำมาตั้งนานแต่จับทางยังไม่ถูก ทำไปเท่าไหร่ก็ยังไม่ก้าวหน้าสักที
.
วันนี้ผมจึงกลั่นบทเรียนจากประสบการณ์ทั้งหมดในการทำธุรกิจออนไลน์มาตลอด 2 ปี มาให้คุณเรียนรู้ ลงมือทำ และ ได้ผลลัพธ์ทันทีภายใน 2 เดือน ในคอร์ส Online Signature Master Class 2021 ซึ่งตอนนี้มีพี่น้องมากกว่า 300 คน เข้ามาลุย และ ได้ผลลัพธ์จริงนับไม่ถ้วนแล้ว
.
ยกตัวอย่างเช่น
.
# คุณอานนท์ ซึ่งทำอาชีพขายประกัน ทักมาบอกผมทันทีที่เรียนจบคอร์สไปเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ ว่า…
.
ผมใช้วิธีการขายแบบเสียงย่างเนื้อ ก็สามารถทำยอดขายประกันได้ 3 ล้านภายในเดือนเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากช่องทางออนไลน์ทั้งหมด”
.
# คนต่อมาที่เติบโตแบบก้าวกระโดดไม่แพ้กัน คือ คุณชมพู เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายตัวหนึ่ง เธอบอกกับผมว่า
.
“ตอนเริ่มต้นทำแบรนด์ คือ ตอนอายุ 20 ค่ะ แต่ตอนนั้น ทำไปเพราะแค่อยากมีรายได้ ไม่มีทุนโปรโมต ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น ลองผิดลองถูกเอา คือ ตอนนั้นสั่งของมาทดลองใช้เอง ใช้แล้วผิวดีขึ้น ก็เริ่มโพสต์ขายเลย ดั้นด้นขายแบบออแกนิคมา 2 ปีค่ะ ขายใน Shopee เฟซบุ๊ก และ ไอจี ซึ่งตอนนั้นก็ทำแบบขำๆ ตัดภาพเองแบบตลกๆ ก็เลยไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไหร่ และในช่วง 2 ปีนี้ ก็มีลองยิงแอดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีเท่าไหร่
.
จนมา ปีที่ 3 ปีนี้ (ปัจจุบัน) เป็นปีการเปลี่ยนแปลง ช่วง ต้นปี 64 เดือนมกราคม ก็ยังโพสต์ขายอยู่ แบบเรื่อยๆ เดือนมกราคมยอดไลค์ ยอดผู้ติดตามอันน้อยนิด แบบ 2 ปีที่ผ่านมาเลย
.
แต่พอได้มาเรียนในคอร์สนี้ แล้วลองทำ ลองโพสต์ และลองทำตามเทคนิคไปสักระยะ บวกกับมาลองยิงแอดอีกครั้ง คือ งง มาก มันปังค่ะพี่ เป็นครั้งแรกที่ได้แตะออเดอร์วันละ 100 บ้าน ด้วยงบยิงแอดแค่ 90 บาท พอรู้สึกว่ามันดี ก็เลยไปสอนตัวแทนขายต่อค่ะ สอนเค้าแบบบ้านๆ เลย .
.
สรุปคือ ตัวแทนทำตาม นางขายได้ แลดูจะเข้าใจง่ายด้วย คือ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
.
**ผลลัพธ์ในปัจจุบัน
.
2 ปีที่ ขายมา
ปีแรก 62 มีเงินเก็บแค่ 10,000 บาท/ปี
ปีสอง 63 มีเงินเก็บถึง 50,000 บาท/ปี
(ดั้นด้นเอง มึนๆ มั่วๆ)
.
ปีที่สาม (ปัจจุบัน 64) แค่ช่วง 5 เดือนนี้ มีเงินเก็บ เกือบ 1 ล้านบาท (ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ค่ะ)
.
**ความต่างที่ชัดคือ ในระยะ 5 เดือนนี้ ที่ตัดสินใจเติมความรู้ เหมือนได้เบิกเนตร คือ มันต่อยอดได้แบบสุดจริงค่ะ**
.
.
# อีกคนหนึ่งคือ น้องภัค สาวน้อยวัย 19 ปี ที่เข้ามาในคลาส Online Signature ทั้งที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ แต่เมื่อเรียนไปถึงบทที่ 3 ผมก็ให้ทุกคนทำ Workshop ชิ้นหนึ่ง คือ ให้ขายสินค้าของตัวเองโดยใช้เทคนิคที่สอนไป แต่ถ้าใครยังไม่มีธุรกิจของตัวเอง ก็ให้หยิบของในบ้านมาทำ Workshop ไปก่อน ซึ่งน้องภัคก็ไปหยิบสเปรย์ระงับกลิ่นกายของตัวเองมาขาย
.
ผลปรากฎว่ามีเพื่อนๆ ในคลาสดูการบ้านที่น้องภัคทำส่ง แล้วก็สั่งซื้อจริงๆ เธอก็เลยลองไปเปิดเพจขายจริงดู จนล่าสุดเธอมาบอกผมว่า “ลองเริ่มขายไปได้แค่เดือนเดียว ยอดขาย 5,000 บาท แล้วค่ะ ตอนนี้กำลังจะลองยิงแอดตามเทคนิคที่สอนในคลาสเพิ่ม เพื่อกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้นอีก”
.
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพี่น้องอีกกว่า 300 คน เท่านั้น ที่ผมหยิบยกมาเล่าให้ฟัง ซึ่งถ้าจะให้ผมเล่าเคสทั้งหมดทุกคน ก็คงเขียนเป็นหนังสือเล่มนึงได้ เอาเป็นว่าหากคุณอยากจะรู้ว่าพี่น้องแต่ละคนในคลาสเขาเติบโตก้าวกระโดดขนาดไหน ก็เข้ามาลุยกับพวกเราในคลาส Online Signature ได้ครับ .
.
# โดย คลาส Online Signature Master Class 2021 จะลุยกันทั้งหมด 10 บทเรียน ประกอบด้วย
.
Module 1 : Overview เข้าใจภาพรวมการตลาดออนไลน์
Module 2 : กลยุทธ์สร้างความต่างทางธุรกิจ โดยไม่ต้องแข่งราคา
Module 3 : จิตวิทยาปิดการขาย
Module 4 : Inbound Content Marketing การตลาดคอนเทนต์แบบแรงดึงดูด
Module 5 : การเขียนโพสต์ขายแบบป้ายยา
Module 6 : ศิลปะการเขียนโพสต์ขายตรง ให้ทำเงินได้แบบ Passive Income (Copy Writing)
Module 7 : การตลาด เพิ่มยอดขาย 2-10 เท่า แบบยั่งยืน
Module 8 : เทคนิคสร้างเพจให้พรีเมี่ยมด้วย Canva
Module 9 : Data thinking
Module 10 : การยิง Ads ขั้นสูง
.
✅ Bonus class : วิธีสร้างธุรกิจ ทดลองตลาด โดยไม่ต้องใช้เงินทุน
✅ Bonus class : การบริหารเงินธุรกิจ
.
และผมจะอัพเดทเนื้อหาและเทรนด์การตลาดออนไลน์ใหม่ๆ แบบเรียลไทม์เป็น Bonus ให้ทุกเดือนจนถึงสิ้นปี 2021
.
ทั้งหมดนี้เราจะเรียนกันแบบออนไลน์ เรียนที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ และ สามารถเรียนซ้ำได้ตลอดชีพครับ
.
คอร์ส Online Signature Master Class 2021
จากปกติราคา 46,000 บาท
ช่วงโปรโมชั่นเหลือเพียง 18,000 บาท
.
แต่เดี๋ยวก่อน !! เฉพาะคนที่แชร์โพสต์นี้ และ สมัครเข้ามา 10 คนแรก
คุณสามารถเข้ามาลุยในคอร์สนี้ในราคาเพียงพิเศษ 10,860 บาท เท่านั้น !!
.
# พร้อมรับของขวัญสุดพิเศษ เป็นคำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room ที่อาจารย์เจษแห่งสำนัก Ohmpiang นักขายมือโปร ที่สามารถขายของทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัว ในแบบที่เหมือนเพื่อนคุยกัน แต่ทุกคนที่ฟังต้องควักกระเป๋าเงินออกมาซื้อแบบ งงๆ ทุกที โดย อ.เจษ จะแอบมา Live เรื่อง “การขาย” ให้ฟังพร้อมเปิดรับคำถามและแจกสคริปต์การขายเรื่อยๆ แบบฟรีๆ
.
หากใครอยากจะลุยไปด้วยกัน ก็ทักไลน์มาได้ครับที่ @samounglai (ใส่ @ ข้างหน้าด้วย) จากนั้นบอกทีมงานว่า “ลุย OSM”
.
ปล1. ราคาพิเศษ 10,860 บาท และ คำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room นี้ เฉพาะ 10 คนแรก เท่านั้น !!
.
ปล2. สามารถชำระผ่านบัตรเครดิต หรือ ผ่อน 0% นาน 10 เดือนได้ (บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ)
.
ปล3. เมื่อเข้ามาเรียนแล้วคิดว่าไม่คุ้ม ผมยินดีคืนเงินให้เต็มจำนวน ภายใน 7 วัน
「สรุป ปรัชญา คือ」的推薦目錄:
- 關於สรุป ปรัชญา คือ 在 สมองไหล Facebook 的最佳貼文
- 關於สรุป ปรัชญา คือ 在 สมองไหล Facebook 的最佳貼文
- 關於สรุป ปรัชญา คือ 在 สมองไหล Facebook 的最讚貼文
- 關於สรุป ปรัชญา คือ 在 สรุป ปรัชญาคืออะไร มนุษย์หลากมิติ ปรัชญา PIM ปิดคอร์ส - YouTube 的評價
- 關於สรุป ปรัชญา คือ 在 ปรัชญาคืออะไร? - YouTube 的評價
- 關於สรุป ปรัชญา คือ 在 สนามความคิด - ปรัชญาตะวันตก ตอนที่ 1 (ปรัชญาคืออะไร) ... 的評價
สรุป ปรัชญา คือ 在 สมองไหล Facebook 的最佳貼文
13 พฤษภาคม 2019 เป็นวันที่ผมเริ่มสร้างเพจสมองไหล แต่มาลงบทความแบบสม่ำเสมอจริงๆ ก็ช่วงเดือนกันยายน เพราะตอนนั้นผมให้ความสำคัญกับใน Blockdit เสียมากกว่า
.
จนปัจจุบันเพจสมองไหลมีอายุประมาณ 1 ปี กว่าๆ กับผลลัพธ์ที่ได้คือ การมีผู้ติดตามมากว่า 270,000 คน จนมียอดขายหนังสือ 6,000 เล่ม ภายในเวลา 8 เดือน และสามารถทำเงินจากเพจได้สูงสุด 1 แสนบาท/เดือน ทั้งจากการขายหนังสือและการสนับสนุนจากแบรนด์ต่างๆ
.
ทั้งนี้ผมต้องถือโอกาสขอบคุณแฟนเพจทุกท่าน ที่สนับสนุนผมจนถึงวันนี้ เพราะถ้าไม่มีคุณ ก็ไม่มีผมวันนี้เช่นกัน คุณคือ คนที่ผม “นึกถึง” ก่อน “ลูกค้า” เสมอ...
.
“ถ้าเราทำคอนเทนต์ดี เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินยิง Ads แม้แต่บาทเดียว”
.
นี่คือ คำสั้นๆ ที่กลั่นมาจากประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้มาทั้งหมดจากการทำเพจมาตลอด 1 ปี แล้วในคำสั้นๆ ที่ว่านี้ มันมีอะไรที่คนกำลังเริ่มต้นทำเพจ ทำสื่อ หรือ ขายออนไลน์ สามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง ผมจะเล่าให้ฟัง…
.
หลายคนเข้าใจว่าการยิง Ads สามารถเพิ่มยอดขายได้ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนก็รู้แล้วว่ามันไม่เป็นความจริง
.
การยิง Ads ก็เหมือนการที่เราจ้างคนแจกใบปลิว ไปแจกลูกค้า ยิ่งยิงมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับการจ้างหลายคนมากเท่านั้น
.
แต่คำถาม คือ การมีคนแจกเยอะ ช่วยเพิ่มยอดขายจริงๆ หรอ ?
.
คำตอบ คือ “ไม่”
.
เพราะตัวตัดสินว่าลูกค้าจะซื้อของๆ คุณหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “คนแจกใบปลิว” แต่ขึ้นอยู่กับตัวใบปลิว ซึ่งก็คือ “คอนเทนต์” ต่างหาก
.
ถ้าคอนเทนต์ คุณดึงดูดมากพอลูกค้าก็จะเดินมาที่หน้าร้านเพื่อซื้อของคุณจากที่อยู่ในใบปลิวนั้น หรือ ไม่ก็เอาไปส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูอีก เปรียบเหมือนการ “แชร์”
.
แต่ถ้าคอนเทนต์ที่คุณทำออกมามันไม่สามารถทำให้ลูกค้าอยากซื้อได้ ต่อให้มีคนแจกใบปลิวมากเท่าไหร่ หรือแจกสักกี่ใบ ลูกค้าก็เอาไปทิ้งถังขยะ ซึ่งเปรียบเหมือนการ “เลื่อนผ่าน” อยู่ดี
.
ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องกลับมาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การทำ “คอนเทนต์” เมื่อทำคอนเทนต์ได้อย่างทรงพลังแล้ว การยิง Ads หรือ การจ้างคนแจกใบปลิวถึงจะใช้ได้ผล
.
.
- แต่ก่อนจะทำคอนเทนต์ เราต้องเข้าใจก่อนว่าคอนเทนต์นั้นมีกี่ประเภท ซึ่งโดยหลักแล้วมันจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
.
1) Topical Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์ที่ทำออกมาตามกระแสต่างๆ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเหตุการณ์ข่าวสารในแต่ละวัน ว่าอะไรที่เขากำลังฮิต อะไรที่คนพูดถึงในช่วงนี้ และต้องลงให้ถูกจังหวะเวลาด้วย คือ ถ้าช้าเพียง 1 ชั่วโมง ก็อาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว ซึ่งข้อดีของมันคือเรียก Traffic ได้ดีมาก แต่ข้อเสียของมันคือ มันอยู่ได้ไม่นาน ใช้ได้ครั้งเดียว ผ่านแล้วก็ผ่านไป
.
คนที่ติดตามผมมาตลอดจะรู้ว่าผมไม่ค่อยทำคอนเทนต์ประเภทนี้สักเท่าไหร่
.
2) Evergreen Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์แนว ความรู้, ปรัชญา, How to ข้อดีของมันคือมันจะไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา แม้จะผ่านไป 1 วัน 1 เดือน 1 ปี ก็ยังสามารถอ่านได้ไม่มีเบื่อ และนำมาใช้ได้จริงในชีวิตเสมอ แต่คอนเทนต์ประเภทนี้ถ้าไปลงในช่วงที่มีกระแสเรื่องอื่นอยู่ อาจจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก และทำยากกว่าแบบเเรกมาก
.
ซึ่งผมจะทำคอนเทนต์ประเภทนี้เป็นหลัก
.
3) Value Content หรือ คอนเทนต์แบบเน้นคุณค่า นี่คือ สุดยอดคอนเทนต์เลยก็ว่าได้ เพราะมันคือการนำ 2 ข้อแรกมาผสมผสานกัน จึงทำให้คอนเทนต์แบบนี้สามารถเรียกได้ทั้งกระแส และ มีการสอดเเทรกความรู้ลงไปด้วยไม่ให้เสื่อมค่าตามการเวลา ทำให้คอนเทนต์มีความสมบูรณ์แบบและเป็นอมตะ แต่ประเด็นคือ มันทำโคตรยาก เพราะต้องทำให้มันทั้งมีคุณค่าและถูกที่ถูกเวลาด้วย แต่ถ้าทำได้ บอกเลยว่าผลของมันคุ้มค่ามากๆ
.
ซึ่งผมเคยทำคอนเทนต์แบบนี้ได้ประมาณ 5-6 ครั้ง ตลอด 1 ปี เช่น คอนเทนต์เรื่อง ทิลลี่ สมิธ ช่วยคนชาวจังหวัดไม้ขาวให้รอดชีวิตจากสึนามิ และ เผยแพร่ในวันรำลึกสึนามิพอดี ซึ่งผลลัพธ์ของมันคือ บทความนี้ได้ถูกหยิบยกไปในรายการข่าวใส่ไข่ ทางช่องไทยรัฐทีวี
.
ส่วนอีกเรื่องคือ บทความ ประวัติศาสตร์โรคระบาดร้ายแรง ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 100 ปี เผยแพร่ในช่วงไวรัส covid-19 ระบาดแรกๆ ซึ่งผลของมันคือ คุณหนุ่มกรรชัย เชิญผมไปออกรายการโหนกระแส ทางช่อง 3 จากบทความนี้
.
รวมทั้งบทความอื่นๆ อย่าง คนขับรถของลีกาซิง, โรงงานผลิตยาสีฟัน, เด็กอเมริกันจะหยุดเรียน 2 ปี เพื่อค้นหาตัวเองก่อนเข้ามหาลัย, จุดประสงค์ที่แท้จริงของเทศกาล 11.11 ของอาลีบาบา และธนบัตรญี่ปุ่น ที่มีผู้แชร์มากกว่า 1 หมื่นครั้ง ซึ่งส่งผลให้ยอดการติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 6 หมื่นคนภายใน 2 เดือน
.
- ทำคอนเทนต์เพื่อให้คน "กดแชร์" มากกว่าแค่ "กดไลค์"
.
เป้าหมายในการทำคอนเทนต์ของผม คือ การทำให้คนแชร์มากกว่าคนกดไลค์ และเเน่นอนว่าการทำให้คนแชร์นั้นยากกว่ายอดกดไลค์อยู่แล้ว เพราะผมเชื่อเสมอว่า การที่คนยอมกดแชร์คอนเทนต์เราออกไปหมายความว่า เขาอยากจะบอกต่อคอนเทนต์นั้น ซึ่งสำหรับผมมันมีคุณค่ามากกว่าการที่เขาแค่กดไลค์หรือชอบมันเพียงคนเดียว
.
แต่ก่อนที่เราจะทำคอนเทนต์ให้คนแชร์ได้ เราต้องรู้เหตุผลที่ทำให้คนแชร์คอนเทนต์ของเราก่อน ซึ่งหลักๆ มันมีอยู่ 5 อย่าง คือ
.
1) ภาพลักษณ์ทางสังคม การที่เขาแชร์อะไร หน้าฟีตของเขา มันต้องทำให้เขามีภาพลักษณ์ดีขึ้น เพราะคงไม่มีใครอยากแชร์อะไรที่ทำให้คนอื่นมองตัวเองไม่ดีอยู่แล้ว
.
2) ตัวกระตุ้น คือ บทความที่ช่วยกระตุ้นให้เขาได้ฉุกคิดหรือลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างได้ ซึ่งมันคือ คอนเทนต์สั้นๆ ที่ผมลงทุกเช้า ให้คุณได้อ่านก่อนออกไปทำงาน เพื่อช่วยกระตุ้นและให้กำลังใจคุณ ซึ่งคนมักจะแชร์เสมอ
3) อารมณ์ความรู้สึก คือ อ่านแล้วเกิดอารมณ์ร่วม ส่วนใหญ่เป็นบทความแนวเรื่องเล่า
4) ความมีประโยชน์ อันนี้ชัดเจน ถ้ามีประโยชน์ใครๆ ก็อยากแชร์ไว้ให้ตัวเองอ่านซ้ำๆ หรือ อยากส่งต่อมันให้คนอื่น
5) เป็นเรื่องเล่า เพราะธรรมชาติของคนชอบเรื่องเล่ามากที่สุด และสิ่งที่คนจดจำได้ดีที่สุดคือเรื่องเล่า และเรื่องเล่าเป็นสิ่งที่คนชอบนำไปเล่าต่อ
.
ผมใช้หลักการนี้ในการทำคอนเทนต์เสมอ นั่นจึงทำให้ถึงแม้บางคอนเทนต์จะเป็นโฆษณา แต่คนก็ยังอยากจะแชร์มันอยู่ดี
.
- พาดหัว คือ “จุดชี้เป็นชี้ตาย” ของคอนเทนต์ เพราะมันคือตัวตัดสินว่าคนจะหยุดอ่านคอนเทนต์ของเราหรือไม่ ?
.
นี่ คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญ 70% เลยก็ว่าได้ เพราะคนจะอ่านตรงนี้ก่อน ถ้ามันไม่โดนใจ เนื้อหาดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
.
ซึ่งพาดหัวนั้นมีส่วนประกอบอยู่ 2 อย่างหลักๆ คือ “ตัวอักษร” และ “ภาพ” ต้องผสมผสานระหว่างสองอย่างนี้ให้ลงตัว
.
ซึ่งการคิดคำพาดหัวนั้นบอกเลยครับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากใช้เทคนิคแล้ว ต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย บอกเลยว่าตรงส่วนนี้ผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 นาที กว่าจะคิดคำพาดหัวที่สมบูรณ์แบบออกมาได้
.
และสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ผู้อ่านมีเวลาแค่ 2 วินาทีเท่านั้น ในการตัดสินว่าจะอ่านคอนเทนต์ของเราหรือเลื่อนผ่านไป ซึ่งสิ่งที่ตัดสินก็คือ “พาดหัว” เพราะฉะนั้น เราต้องตอบให้ได้ ผู้อ่านจะได้อะไรจากคอนเทนต์ของเรา ใส่มันลงไปในพาดหัวให้ได้
.
แล้วสิ่งที่เราต้องการสื่อทั้งหมด ค่อยมาใส่ตรง “เนื้อเรื่อง”
.
และสุดท้าย คอนเทนต์ของเรามีผลกระทบอะไรกับผู้อ่านบ้าง ใส่ลงไปใน “สรุป” ช่วงท้าย
.
ทั้งหมดนี้ คือ เทคนิคที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในการทำเพจได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณามากมาย เพราะต่อให้ยิง Ads หนักแค่ไหน แต่ถ้าคอนเทนต์ไม่ดี คนก็เลื่อนผ่านอยู่ดี...
.
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ผมไปเอามาจากไหน ?
.
คำตอบ คือ ผมไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด หรือ รู้ด้วยตัวเองทั้งหมดหรอกครับ แต่ผมไปเรียนมาจากคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้มา 7 ปี เป็นเจ้าของเพจชื่อดังที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้าน ซึ่งเป็นพี่ที่ผมเคารพรักคนหนึ่งมากๆ
.
ผมกล้าพูดตรงนี้เลยครับว่า ถ้าผมไม่ได้มาเจอพี่คนนี้ จะไม่มีผมและเพจสมองไหลในวันนี้แน่ๆ
.
ในตอนนั้นค่าคอร์สที่ผมเรียนประมาณ 8,000 บาท
.
แต่ข่าวดี คือ วันนี้พี่เขาเขียนหนังสือออกมา ซึ่งหลังจากที่ผมอ่านจบแล้ว บอกตรงๆ เลยว่า มันเหมือนการเอาบทเรียนราคา 8,000 บาท ในคอร์สวันนั้น มายัดลงหนังสือ CONTENT CREATOR 101 ในราคา 245 บาท
.
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ มันได้รับการปรับปรุง เพิ่มเติม และเข้มข้นมากกว่าคอร์สวันนั้นอีก เพราะตอนนั้นผมเป็นรุ่นแรกๆ ที่เรียน แต่พอมาอ่านเล่มนี้เหมือนได้ทบทวนบทเรียนและเรียนรู้เรื่องใหม่ที่เข้มข้นกว่าเดิม
.
เป็นหนังสือที่มีทุกอย่างที่คนอยากเริ่มต้นทำคอนเทนต์ควรจะมี ตั้งแต่การเริ่มต้นทำคอนเทนต์ วิธีคิดเกี่ยวกับคอนเทนต์ การสร้างคอนเทนต์แบบเน้นคุณค่า การเขียนพาดหัว การวางกลยุทธ์ และเครื่องมือต่างๆ ทั้งเครื่องมือที่ช่วยบอกคุณว่าตอนนี้คนเขาพูดถึงอะไรกัน และ ควรหารูปประกอบจากไหนมาทำคอนเทนต์ ฯลฯ
.
บอกเลยครับว่า ใครซื้อเล่มนี้ไปอ่าน มูลค่าที่ได้กลับมานั้นมากกว่า 1,000 เท่า แน่นอน แถมยังได้เงินค่าโฆษณากลับคืนมาอีกจำนวนมหาศาลด้วย
.
แต่ประเด็นคือ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไป เพราะทางผู้เขียนพิมพ์ออกมาครั้งละจำนวนจำกัด ตอนนี้เหลือเพียง 43 เล่มเท่านั้น
.
เพราะฉะนั้น ใครอยากได้หนังสือที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จด้านการทำคอนเทนต์ รีบกดสั่งซื้อได้ที่ Link ข้างล่างนี้ได้เลยครับ ก่อนที่ของจะหมด !
.
.
หนังสือราคา 305 บาท รวมส่ง
.
**อัพเดต ตอนนี้หนังสือหมดแล้วนะครับ แต่ทุกคนยังสามารถสั่งจองแบบพรีออเดอร์ได้ โดยจะได้รับหนังสือเป็นรูปแบบ E-Book ไปอ่านก่อน ภายใน 3 ชั่วโมง หลังการชำระเงิน (แบบจำกัดเวลาอ่านได้จนถึงวันที่หนังสือจัดส่งถึงมือ) แล้วหนังสือจะถูกเริ่มจัดส่งในวันที่ 08/03/64 มีจำนวนจำกัด 100 เล่ม เท่านั้น ครับ
.
มีผลสำหรับ ผู้ที่ชำระเงินหลังเวลา 00.11 ของวันที่ 18/02/64 ครับ
.
.
วิธีการสั่งซื้อ
.
1.กดลิงก์ https://m.me/432860907260347?ref=sale_PBgmezKq
.
2.กด “สั่งซื้อ”
.
3.เลือกจำนวน และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
จากนั้น ชำระเงิน ตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ใน Inbox
ปล. หากของหมดระบบจะไม่ขึ้น “คำสั่งซื้อให้” นะครับ
สรุป ปรัชญา คือ 在 สมองไหล Facebook 的最讚貼文
13 พฤษภาคม 2019 เป็นวันที่ผมเริ่มสร้างเพจสมองไหล แต่มาลงบทความแบบสม่ำเสมอจริงๆ ก็ช่วงเดือนกันยายน เพราะตอนนั้นผมให้ความสำคัญกับใน Blockdit เสียมากกว่า
.
จนปัจจุบันเพจสมองไหลมีอายุประมาณ 1 ปี กว่าๆ กับผลลัพธ์ที่ได้คือ การมีผู้ติดตามมากว่า 1 แสนจน มียอดขายหนังสือ 1 พันเล่ม ภายในเวลา 2 เดือน และสามารถทำเงินจากเพจได้ 1 แสนบาท ภายใน 3 เดือน ทั้งจากการขายหนังสือและการสนับสนุนจากแบรนด์ต่างๆ
.
ทั้งนี้ผมต้องถือโอกาสขอบคุณแฟนเพจทุกท่าน ที่สนับสนุนผมจนถึงวันนี้ เพราะถ้าไม่มีคุณ ก็ไม่มีผมวันนี้เช่นกัน คุณคือ คนที่ผม “นึกถึง” ก่อน “ลูกค้า” เสมอ...
.
“ถ้าเราทำคอนเทนต์ดี เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินยิง Ads แม้แต่บาทเดียว”
.
นี่คือ คำสั้นๆ ที่กลั่นมาจากประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้มาทั้งหมดจากการทำเพจมาตลอด 1 ปี แล้วในคำสั้นๆ ที่ว่านี้ มันมีอะไรที่คนกำลังเริ่มต้นทำเพจ ทำสื่อ หรือ ขายออนไลน์ สามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง ผมจะเล่าให้ฟัง…
.
- ก่อนจะทำคอนเทนต์ เราต้องเข้าใจก่อนว่าคอนเทนต์นั้นมีกี่ประเภท ซึ่งโดยหลักแล้วมันจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
.
1) Topical Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์ที่ทำออกมาตามกระแสต่างๆ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเหตุการณ์ข่าวสารในแต่ละวัน ว่าอะไรที่เขากำลังฮิต อะไรที่คนพูดถึงในช่วงนี้ และต้องลงให้ถูกจังหวะเวลาด้วย คือ ถ้าช้าเพียง 1 ชั่วโมง ก็อาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว ซึ่งข้อดีของมันคือเรียก Traffic ได้ดีมาก แต่ข้อเสียของมันคือ มันอยู่ได้ไม่นาน ใช้ได้ครั้งเดียว ผ่านแล้วก็ผ่านไป
.
คนที่ติดตามผมมาตลอดจะรู้ว่าผมไม่ค่อยทำคอนเทนต์ประเภทนี้สักเท่าไหร่
.
2) Evergreen Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์แนว ความรู้, ปรัชญา, How to ข้อดีของมันคือมันจะไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา แม้จะผ่านไป 1 วัน 1 เดือน 1 ปี ก็ยังสามารถอ่านได้ไม่มีเบื่อ และนำมาใช้ได้จริงในชีวิตเสมอ แต่คอนเทนต์ประเภทนี้ถ้าไปลงในช่วงที่มีกระแสเรื่องอื่นอยู่ อาจจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก และทำยากกว่าแบบเเรกมาก
.
ซึ่งผมจะทำคอนเทนต์ประเภทนี้เป็นหลัก
.
3) Value Content หรือ คอนเทนต์แบบเน้นคุณค่า นี่คือ สุดยอดคอนเทนต์เลยก็ว่าได้ เพราะมันคือการนำ 2 ข้อแรกมาผสมผสานกัน จึงทำให้คอนเทนต์แบบนี้สามารถเรียกได้ทั้งกระแส และ มีการสอดเเทรกความรู้ลงไปด้วยไม่ให้เสื่อมค่าตามการเวลา ทำให้คอนเทนต์มีความสมบูรณ์แบบและเป็นอมตะ แต่ประเด็นคือ มันทำโคตรยาก เพราะต้องทำให้มันทั้งมีคุณค่าและถูกที่ถูกเวลาด้วย แต่ถ้าทำได้ บอกเลยว่าผลของมันคุ้มค่ามากๆ
.
ซึ่งผมเคยทำคอนเทนต์แบบนี้ได้ประมาณ 5-6 ครั้ง ตลอด 1 ปี เช่น คอนเทนต์เรื่อง ทิลลี่ สมิธ ช่วยคนชาวจังหวัดไม้ขาวให้รอดชีวิตจากสึนามิ และ เผยแพร่ในวันรำลึกสึนามิพอดี ซึ่งผลลัพธ์ของมันคือ บทความนี้ได้ถูกหยิบยกไปในรายการข่าวใส่ไข่ ทางช่องไทยรัฐทีวี
.
ส่วนอีกเรื่องคือ บทความ ประวัติศาสตร์โรคระบาดร้ายแรง ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 100 ปี เผยแพร่ในช่วงไวรัส covid-19 ระบาดแรกๆ ซึ่งผลของมันคือ คุณหนุ่มกรรชัย เชิญผมไปออกรายการโหนกระแส ทางช่อง 3 จากบทความนี้
.
รวมทั้งบทความอื่นๆ อย่าง คนขับรถของลีกาซิง, โรงงานผลิตยาสีฟัน, เด็กอเมริกันจะหยุดเรียน 2 ปี เพื่อค้นหาตัวเองก่อนเข้ามหาลัย, จุดประสงค์ที่แท้จริงของเทศกาล 11.11 ของอาลีบาบา และธนบัตรญี่ปุ่น ที่มีผู้แชร์มากกว่า 1 หมื่นครั้ง ซึ่งส่งผลให้ยอดการติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 6 หมื่นคนภายใน 2 เดือน
.
- ทำคอนเทนต์เพื่อให้คน "กดแชร์" มากกว่าแค่ "กดไลค์"
.
เป้าหมายในการทำคอนเทนต์ของผม คือ การทำให้คนแชร์มากกว่าคนกดไลค์ และเเน่นอนว่าการทำให้คนแชร์นั้นยากกว่ายอดกดไลค์อยู่แล้ว เพราะผมเชื่อเสมอว่า การที่คนยอมกดแชร์คอนเทนต์เราออกไปหมายความว่า เขาอยากจะบอกต่อคอนเทนต์นั้น ซึ่งสำหรับผมมันมีคุณค่ามากกว่าการที่เขาแค่กดไลค์หรือชอบมันเพียงคนเดียว
.
แต่ก่อนที่เราจะทำคอนเทนต์ให้คนแชร์ได้ เราต้องรู้เหตุผลที่ทำให้คนแชร์คอนเทนต์ของเราก่อน ซึ่งหลักๆ มันมีอยู่ 5 อย่าง คือ
.
1) ภาพลักษณ์ทางสังคม การที่เขาแชร์อะไร หน้าฟีตของเขา มันต้องทำให้เขามีภาพลักษณ์ดีขึ้น เพราะคงไม่มีใครอยากแชร์อะไรที่ทำให้คนอื่นมองตัวเองไม่ดีอยู่แล้ว
.
2) ตัวกระตุ้น คือ บทความที่ช่วยกระตุ้นให้เขาได้ฉุกคิดหรือลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างได้ ซึ่งมันคือ คอนเทนต์สั้นๆ ที่ผมลงทุกเช้า ให้คุณได้อ่านก่อนออกไปทำงาน เพื่อช่วยกระตุ้นและให้กำลังใจคุณ ซึ่งคนมักจะแชร์เสมอ
3) อารมณ์ความรู้สึก คือ อ่านแล้วเกิดอารมณ์ร่วม ส่วนใหญ่เป็นบทความแนวเรื่องเล่า
4) ความมีประโยชน์ อันนี้ชัดเจน ถ้ามีประโยชน์ใครๆ ก็อยากแชร์ไว้ให้ตัวเองอ่านซ้ำๆ หรือ อยากส่งต่อมันให้คนอื่น
5) เป็นเรื่องเล่า เพราะธรรมชาติของคนชอบเรื่องเล่ามากที่สุด และสิ่งที่คนจดจำได้ดีที่สุดคือเรื่องเล่า และเรื่องเล่าเป็นสิ่งที่คนชอบนำไปเล่าต่อ
.
ผมใช้หลักการนี้ในการทำคอนเทนต์เสมอ นั่นจึงทำให้ถึงแม้บางคอนเทนต์จะเป็นโฆษณา แต่คนก็ยังอยากจะแชร์มันอยู่ดี
.
- พาดหัว คือ “จุดชี้เป็นชี้ตาย” ของคอนเทนต์ เพราะมันคือตัวตัดสินว่าคนจะหยุดอ่านคอนเทนต์ของเราหรือไม่ ?
.
นี่ คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญ 70% เลยก็ว่าได้ เพราะคนจะอ่านตรงนี้ก่อน ถ้ามันไม่โดนใจ เนื้อหาดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
.
ซึ่งพาดหัวนั้นมีส่วนประกอบอยู่ 2 อย่างหลักๆ คือ “ตัวอักษร” และ “ภาพ” ต้องผสมผสานระหว่างสองอย่างนี้ให้ลงตัว
.
ซึ่งการคิดคำพาดหัวนั้นบอกเลยครับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากใช้เทคนิคแล้ว ต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย บอกเลยว่าตรงส่วนนี้ผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 นาที กว่าจะคิดคำพาดหัวที่สมบูรณ์แบบออกมาได้
.
และสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ผู้อ่านมีเวลาแค่ 2 วินาทีเท่านั้น ในการตัดสินว่าจะอ่านคอนเทนต์ของเราหรือเลื่อนผ่านไป ซึ่งสิ่งที่ตัดสินก็คือ “พาดหัว” เพราะฉะนั้น เราต้องตอบให้ได้ ผู้อ่านจะได้อะไรจากคอนเทนต์ของเรา ใส่มันลงไปในพาดหัวให้ได้
.
แล้วสิ่งที่เราต้องการสื่อทั้งหมด ค่อยมาใส่ตรง “เนื้อเรื่อง”
.
และสุดท้าย คอนเทนต์ของเรามีผลกระทบอะไรกับผู้อ่านบ้าง ใส่ลงไปใน “สรุป” ช่วงท้าย
.
ทั้งหมดนี้ คือ เทคนิคที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในการทำเพจได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณามากมาย เพราะต่อให้ยิง Ads หนักแค่ไหน แต่ถ้าคอนเทนต์ไม่ดี คนก็เลื่อนผ่านอยู่ดี...
.
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ผมไปเอามาจากไหน ?
.
คำตอบ คือ ผมไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด หรือ รู้ด้วยตัวเองทั้งหมดหรอกครับ แต่ผมไปเรียนมาจากคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้มา 7 ปี เป็นเจ้าของเพจชื่อดังที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้าน ซึ่งเป็นพี่ที่ผมเคารพรักคนหนึ่งมากๆ
.
ผมกล้าพูดตรงนี้เลยครับว่า ถ้าผมไม่ได้มาเจอพี่คนนี้ จะไม่มีผมและเพจสมองไหลในวันนี้แน่ๆ
.
ในตอนนั้นค่าคอร์สที่ผมเรียนประมาณ 8,000 บาท
.
แต่ข่าวดี คือ วันนี้พี่เขาเขียนหนังสือออกมา ซึ่งหลังจากที่ผมอ่านจบแล้ว บอกตรงๆ เลยว่า มันเหมือนการเอาบทเรียนราคา 8,000 บาท ในคอร์สวันนั้น มายัดลงหนังสือ CONTENT CREATOR 101 ในราคา 245 บาท
.
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ มันได้รับการปรับปรุง เพิ่มเติม และเข้มข้นมากกว่าคอร์สวันนั้นอีก เพราะตอนนั้นผมเป็นรุ่นแรกๆ ที่เรียน แต่พอมาอ่านเล่มนี้เหมือนได้ทบทวนบทเรียนและเรียนรู้เรื่องใหม่ที่เข้มข้นกว่าเดิม
.
เป็นหนังสือที่มีทุกอย่างที่คนอยากเริ่มต้นทำคอนเทนต์ควรจะมี ตั้งแต่การเริ่มต้นทำคอนเทนต์ วิธีคิดเกี่ยวกับคอนเทนต์ การสร้างคอนเทนต์แบบเน้นคุณค่า การเขียนพาดหัว การวางกลยุทธ์ และเครื่องมือต่างๆ ทั้งเครื่องมือที่ช่วยบอกคุณว่าตอนนี้คนเขาพูดถึงอะไรกัน และ ควรหารูปประกอบจากไหนมาทำคอนเทนต์ ฯลฯ
.
บอกเลยครับว่า ใครซื้อเล่มนี้ไปอ่าน มูลค่าที่ได้กลับมานั้นมากกว่า 100 เท่า แน่นอน
.
แต่ประเด็นคือ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไป เพราะทางผู้เขียนพิมพ์ออกมาจำนวนจำกัด ขนาดผมยังได้โควต้ามาแค่ 20 เล่ม เท่านั้น !
.
เพราะฉะนั้น ใครอยากได้หนังสือที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จด้านการทำคอนเทนต์ รีบทัก Inbox มาหาผมได้เลยครับ ก่อนที่ของจะหมด !
.
มีทั้งแบบ
- หนังสือเล่ม ราคา 245 บาท
- และแบบ E-book ราคา 890 บาท แถมหนังสือ 1 เล่ม
.
อัพเดต เนื่องจากหนังสือมีผู้ต้องการจำนวนมาก ทางผู้เขียนจึงสั่งพิมพ์ครั้งที่ 2 ออกมาแล้วครับ รอบนี้ผมได้โควต้ามาเพิ่ม 80 เล่ม
.
#สมองไหล #คอนเทนต์
สรุป ปรัชญา คือ 在 ปรัชญาคืออะไร? - YouTube 的美食出口停車場
ปรัชญาคืออะไร? 81K views · 3 years ago ...more. อาจวรงค์ จันทมาศ ... 17:08 · Go to channel. สรุป ปรัชญาคือ อะไร มนุษย์หลากมิติ ปรัชญา PIM ปิดคอร์ส. ... <看更多>
สรุป ปรัชญา คือ 在 สนามความคิด - ปรัชญาตะวันตก ตอนที่ 1 (ปรัชญาคืออะไร) ... 的美食出口停車場
555555 พูดง่ายๆคือจะสื่อว่าปรัชญาเป็นอะไรที่นิยามไม่ได้ บอกได้แค่ว่าปรัชญาคือสิ่งที่นักปรัชญาเค้าทำกัน คิดว่าหลายๆคนก็คงสงสัยว่าแล้วสรุปแล้ววิชาปรัชญาเนี่ยทำ ... <看更多>
สรุป ปรัชญา คือ 在 สรุป ปรัชญาคืออะไร มนุษย์หลากมิติ ปรัชญา PIM ปิดคอร์ส - YouTube 的美食出口停車場
ปรัชญา #philosophy มนุษย์หลากมิติ หัวข้อ2 ความหมายของชีวิต Meaning of Life #PIM #ปัญญาภิวัฒน์ เทอม 2.1 มีนาคม-เมษายน 2564 หมายเหตุ : ลักษณะของ ปรัชญา ... ... <看更多>