DAY7: ความทรงจำทางการเงินในวัยเด็ก ...
สมัยเรียนอยู่ชั้น ป.4 จำได้ว่าตัวผมเองเคยอยากได้นาฬิกาอยู่เรือนหนึ่ง มันเป็นนาฬิกาเรือนสีเงิน หน้าปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ละมุมมีรอยตัดเล็กๆดูเก๋ สายเป็นหนังสีดำ สวยสะดุดตาถูกใจกว่านาฬิกาเรือนไหนๆในตู้โชว์
ทุกครั้งตอนเดินกลับจากโรงเรียน ผมจะต้องเดินเฉียดเข้าไปใกล้ร้านนาฬิกา และหยุดดูนาฬิกาเรือนนี้ทุกครั้ง เพื่อคอยตรวจสอบว่า มีใครซื้อนาฬิกาเรือนนี้ไปหรือยัง เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครซื้อ ก็จะหยุดยืนดูมันอยู่สักพัก แล้วก็ค่อยกลับบ้าน
อาจเป็นเพราะเพิ่งดูนาฬิกาเป็น และเริ่มรู้ว่านาฬิกาสำคัญกับการดำรงชีวิตอย่างไร จึงสนใจและอยากมีนาฬิกาเป็นของตัวเองสักเรือน แต่ก็ทำได้แค่ดู เพราะไม่มีสตางค์ ยิ่งเมื่อเทียบราคากันแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าเรือนที่ผมอยากได้นั้นมีราคาสูงกว่าเรือนอื่นๆ
350 บาท ในยุค 30 กว่าปีที่แล้ว เรียกได้ว่า “ราคาไม่เบา” เลยทีเดียว
แต่ก็นะ! ด้วยความอยากได้ ผมจึงพยายามรวบรวมความกล้าเข้าไปขอให้ป๊าซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวให้ แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ที่จะโดนด่า
“ยังหาเงินเองไม่ได้ จะใช้ของแพงแบบน้ันไปทำไม”
(อันนี้เป็นคำตอบของป๊าที่ผมเดาเอาไว้ก่อนลองขอดู)
แต่เมื่อความต้องการมันสุมมันรุมเร้า ผมจึงตัดสินใจเสี่ยงเอ่ยปาก โดยชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นเหตุผล ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะต่างกับเด็กสมัยนี้เวลาอยากได้สมาร์ทโฟนสักเครื่อง
“เอาสิ ……” เฮ้ย! คำตอบของป๊า ทำให้ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“แต่ …. (ว่าแล้ว) ต้องทำงานช่วยที่ร้าน 2 วัน เสาร์–อาทิตย์นี้ ตั้งแต่เปิดจนปิดร้าน ถ้าทำได้ คืนวันอาทิตย์เราจะไปซื้อนาฬิกากัน“
ความโลภเป็นเหตุ ไม่เจตนา ผมตกปากรับคำแบบไม่คิดเจรจาต่อรองใดๆ
บ้านของผมเป็นร้านขายอะไหล่รถยนต์ย่านคลองจั่น บางกะปิ เปิดขายของตั้งแต่ 08.00 – 20.00 น. มีลูกค้ามากมายทั้งขาจร ขาประจำ รวมถึงอู่ซ่อมรถในละแวกใกล้เคียง ร้านเราเป็นที่รู้จัก เพราะชื่อเสียงของป๊าเป็นที่ยอมรับนับถือ โดยเฉพาะเรื่องของความใจกว้าง และความซื่อสัตย์ (อันนี้คนอื่นบอก ไม่ได้อวยป๊าตัวเอง)
เมื่อถึงวันเสาร์ ป๊าปลุกผมตั้งแต่ 7 โมงเช้า (ปกติวันหยุด ผมตื่น 10 โมงให้ตายสิ!) ป๊าให้ผมช่วยลำเลียงน้ำมันไปจัดวางหน้าร้าน เด็ก ป.4 อายุ 10 ขวบ ยกน้ำมันข้างละ 1 แกลลอน เรียงจนหมด 10 ลัง ที่เจ๋งมากคือป๊าไม่ช่วยยกเลยสักแกลลอนเดียว คอยแต่ชี้นิ้วอย่างเดียว
หลังจากนั้น ก็ให้ผมปีนขึ้นไปทำความสะอาดหยักไย่ที่เกาะราวสายพาน กวาดร้าน และจัดของให้เข้าที่เข้าทาง จนร้านพร้อมเปิด แล้วก็คอยสแตนบายเป็นเด็กคอยวิ่งหยิบของบ้าง เฝ้าร้านเวลาป๊ากับแม่ขึ้นไปหยิบของชั้นบนบ้าง เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดทั้งวัน
ป๊าบอกว่า กว่าจะขายของได้เงินมันเหนื่อย ถ้าใครมาเอาเปรียบขโมยของเราไป เราจะเสียหายไปถึงต้นทุน ดังนั้นจึงสั่งให้ผมนั่งเฝ้าร้านไว้
“ค้าขายต้องไม่เอาเปรียบลูกค้า และในขณะเดียวกัน ก็อย่าให้ถูกเอาเปรียบ ทุกอย่างต้องแลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมา” ป๊าสอน
ตลอดทั้งวัน ผมทำงานโดยไม่ปริปากบ่น แว๊บหนึ่งที่ผมคิดขึ้นมาได้ ขณะที่ว่ิงไปวิ่งมาในร้านก็คือ “เรียนหนังสือสบายกว่าแยะเลย“
สิ้นวันผมเหนื่อยมาก หลังอาบน้ำ ผมสลบหลับเป็นตายโดยไม่รู้ตัว
วันถัดมา ป๊าสอนให้ผมอ่านโค้ดราคาสินค้า เนื่องจากร้านอะไหล่แบบเรา จะไม่ติดราคาสินค้าประเจิดประเจ้อ แต่จะใช้โค้ดเป็นตัวบอกทั้งต้นทุน และราคาขาย
“Aพจ Aชจ” หมายถึง ต้นทุน 160 บาท ราคาขาย 180 บาท ถ้าจะลดให้ลูกค้า ก็อย่าทะลึ่งลดเกินต้นทุน
วันอาทิตย์เป็นวันที่ลูกค้าไม่ได้เยอะมาก ผมก็เลยรู้สึกดีที่ว่าง แต่พอว่างนานไป ก็เริ่มสงสัยว่า แล้วร้านจะเอาเงินมาจากไหน ร้านเปิด 08.00 น. ลูกค้าคนแรกเข้าร้านเราตอน 10.00 โมง
ลูกค้าคนดังกล่าวต้องการหัวเทียน ป๊าหยิบหัวเทียนส่งให้ผมแสดงฝีมือคิดราคา ทันทีที่ผมบอกราคาขาย ป๊ายิ้มดูภูมิใจ แต่ผมรู้สึกเศร้าใจ เพราะสองชั่วโมงที่รอคอยลูกค้าคนแรก เรามีกำไรจากหัวเทียน 1 หัว เพียง 20 บาท
แล้วบรรยากาศอันแสนเงียบเหงาในวันอาทิตย์ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ลูกค้าเข้ามาที่ร้านแบบนับคนได้ ป๊าบอกว่าวันอาทิตย์เป็นวันเที่ยวของครอบครัวส่วนใหญ่ เลยอาจมีลูกค้าน้อยไปสักนิด แต่ก็มาเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่ว่าง ป๊าจะเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในร้าน รวมไปถึงวิธีการเอาใจใส่ลูกค้าในแบบของป๊าให้ฟัง ป๊าบอกว่า คนค้าขายต้องรู้ใจลูกค้า ถ้าชนะใจลูกค้า เข้าใจลูกค้า ขายอะไรก็ขายได้
ตกเย็นป๊าพาผมเดินข้ามถนนไปที่ร้านนาฬิกา จำได้ว่าวันนั้นผมยืนมองนาฬิกาที่ชอบอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจบอกให้ป๊าซื้อนาฬิกาลายการ์ตูนอีกเรือนหนึ่ง
“ใช่อันนี้เหรอ ที่อยากได้” ป๊าถามพลางมองหน้าผม ผมนิ่ง ก่อนจะส่ายหัว “แล้วทำไม ไม่ซื้อของที่เราอยากได้” ป๊าถาม
“มันแพง” ผมตอบ
สองวันเต็มของการทำงาน มันทำให้ผมเห็นคุณค่าของเงิน (นาฬิกาแพงขนาดนั้น ต้องขายหัวเทียนถึง 18 หัวถึงจะซื้อได้) เห็นคุณค่าของการทำงานหนัก และที่สำคัญที่สุด เห็นความรักของป๊าที่สอนให้บทเรียนทางการเงินให้ผมอย่างอดทน
สุดท้ายวันนั้น ป๊าซื้อนาฬิการาคา 350 บาทที่ผมอยากได้ให้ มันเป็นนาฬิกาเรือนแรกในชีวิต เป็นของขวัญอันทรงคุณค่า เพราะมันแลกมาด้วยการทำงาน ผมดีใจมาก เห่อสุดๆ จนต้องใส่มันนอนด้วย
ป๊าบอกว่า “คนเราทำงานหนัก ก็ต้องใช้จ่ายให้เป็น มันไม่เกี่ยวว่าแพงหรือถูก ถ้ามันดีกว่า คุ้มกว่า ใช้ได้นานกว่า การซื้อของแพง ก็ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย“
ทุกวันนี้ผมก็ยังใช้ชีวิตแบบที่ป๊าสอน ผมไม่เคยใช้ชีวิตแบบจำกัดจำเขี่ย ถ้าสิ่งใดที่จำเป็นและผมต้องการมัน ผมจะแลกมันด้วยการทำงานหนัก และส่ิงของใดที่จำเป็น ผมจะเลือกสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดกับเงินที่จ่ายไป
เมื่อนึกย้อนกลับไปยังบทเรียนในวันนั้น ผมจะรู้สึกภูมิใจเล็กๆ กับตัวเองเสมอ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงป๊า ครูการเงินคนแรกในชีวิต ที่สอนการเงินให้ผมด้วยความรัก จนทำให้ผมมีภูมิคุ้มกันทางการเงินติดตัวมาจนปัจจุบัน
แม้วันนี้ป๊าจะไม่อยู่แล้ว (ป๊าเสียไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว) แต่บทเรียนทางการเงินอันทรงคุณค่าบทเรียนนี้ และบทเรียนอื่นๆ ที่ป๊าพูดป๊าสอนยังคงอยู่ และจะถูกส่งต่อไปยังลูกๆของผมด้วยความรัก เหมือนอย่างที่ป๊าส่งมอบมันให้กับผม
ใครที่คุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ด้วย ดูแลท่านให้อยู่ดีมีความสุขนะครับ
โค้ชหนุ่ม
07-01-2021
ปล. เห็นว่าพรุ่งนี้วันเด็กแห่งชาติ เลยหยิบเรื่องในวัยเด็กมาเล่าให้ฟังกันครับ ใครมีเรื่องการเงินในวัยเด็ก ก็หยิบมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ
ราคาขาย หมายถึง 在 TFEX Station - เรารู้จักกับ 1-10 คำศัพท์ ที่เรามักได้ยินนักวิเคราะห์ ... 的美食出口停車場
หมายถึง การเปิดสถานะเพื่อซื้อหรือขายสัญญาฟิวเจอร์ส ... TFEX อนุญาตให้ใช้ในการเสนอราคาซื้อเสนอราคาขาย เช่น SET50 Futures กำหนด Tick Size ... ... <看更多>
ราคาขาย หมายถึง 在 09_อธิบายความหมายของ ทุน ราคาขาย กำไร ขาดทุน และเท่าทุน ... 的美食出口停車場
09_อธิบายความ หมาย ของ ทุน ราคาขาย กำไร ขาดทุน และเท่าทุน (คณิตศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 บทที่ 5). 8.3K views · 2 years ago ...more ... ... <看更多>