#สรุปวิธีคิดเรื่องเทคนิคในการปรับพฤติกรรมของลูก
หลายครั้งที่เขียนบทความเรื่องวิธีคิดในการฝึกนิสัย
ฝึกวินัยลูก
หมอได้เข้าไปอ่าน comment
หมอรู้แล้วค่ะ ว่าพ่อแม่ยังไม่เข้าใจเพราะอะไร
เรามักแยกพฤติกรรมของลูกเพียง 2 แบบคือ
พฤติกรรมที่พ่อแม่ OK กับ พ่อแม่ ไม่ OK
เราใจร้อน อยากหยุดสิ่งที่ลูกทำให้เราไม่ชอบใจ
แต่เราไม่เรียงลำดับความสำคัญ หรือความเร่งด่วน
ที่สำคัญ เราคิดว่าการสอนเพียงครั้งสองครั้ง
จะทำให้เด็กเปลี่ยนพฤติกรรมได้
ซึ่งจริงๆต้องใช้เวลา ความสม่ำเสมอ มากกว่านั้น
พฤติกรรมเชิงลบของเด็กๆ ก็มีรายละเอียดหลายอย่าง
ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่สามารถใช้เทคนิคเดียวกันได้
เช่น เราจะไม่ใช้เทคนิคเพิกเฉยกับพฤติกรรมที่อันตรายเด็ดขาด
หมอเลยรวบรวมขั้นตอน ตามความเข้าใจของตัวเอง...เพื่อทุกคนจะได้เข้าใจง่ายขึ้น (รึเปล่านะ)
===================================
#ขั้นแรก ให้จัดกลุ่มพฤติกรรมที่เราต้องการสอนลูกก่อน
1.#พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว
👉พฤติกรรมที่เป็นอันตรายทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่น
เช่น เล่นของมีคม เอามือแหย่ปลั๊กไฟ ขว้างปาข้าวของใส่พี่น้องเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
พฤติกรรมเหล่านี้ ต้องการความเด็ดขาด จริงจัง
ให้เด็กรู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่ ก็จะจริงจังโดยอัตโนมัติกันอยู่แล้ว
ถ้าเป็นเด็กเล็กที่ยังเข้าใจภาษาไม่มาก หลังจากที่อุ้มออกมาจากสถานการณ์เสี่ยงแล้ว
ให้สบตา แล้วพูดอย่างจริงจังว่า #ทำไม่ได้ พูดสั้นๆแต่เด็ดขาดและจริงจัง
(สำคัญกว่าการห้ามเด็ก คือ ผู้ใหญ่ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ลูกนะคะ)
หากเป็นเด็กวัยที่เข้าใจภาษาได้ดีแล้ว นอกจากสบตา พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เราอาจบอกเหตุผลเป็น I-message
“เมื่อกี้ แม่เป็นห่วงมาก กลัวลูกถูกไฟช๊อต”
“วันหลังไม่ทำนะลูก แม่ใจหาย กลัวลูกจะเป็นอันตราย”
เด็กๆเค้าจะได้รับรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เราห้าม เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเค้า
👉พฤติกรรมทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น ทำลายข้าวของ
เช่น ดึงผมแม่ ตีหน้าแม่ ก็ให้จับมือเค้า มองตา
แล้วบอกว่า แม่เจ็บ หยุดทำนะลูก
ทำอีก ก็จับมืออีก จ้องตา และบอกว่าทำไม่ได้ลูก
(เด็กแต่ละคนใช้ระยะเวลาที่พฤติกรรมเหล่านี้หายไปไม่เท่ากัน
แต่ถ้าเราทำเช่นนี้ตอนที่เราบอก เค้าจะหยุดแน่นอน ทำใหม่ เราก็สอนใหม่)
ถ้าทำร้ายตัวเอง ก็ให้หยุด เช่นจับมือ อุ้มเอาไว้ แล้วบอกว่า ไม่ทำ
ทำลายข้าวของก็เช่นกัน
ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แตก เราก็เก็บของชิ้นนั้นให้ออกไปจากสายตาเค้า
ถ้าตกแตก แล้วเป็นเด็กเล็ก เช่นอายุน้อยกว่า 3 ปี ก็ต้องกันเค้าออกไปจากบริเวณนั้นก่อน
แล้วค่อยสอนอย่างจริงจัง
ถ้าเป็นเด็กที่โต ให้เค้ารับผิดชอบสิ่งที่เค้าทำ
เช่น ช่วยทำความสะอาด หรือ อาจมีบทลงโทษที่ตกลงกันไว้ก่อน
และเหมือนเดิม สอนด้วยสีหน้าจริงจัง ว่า ทำไม่ได้
ถ้าต้องการหยุดพฤติกรรมทั้งสองอย่างนี้ด้วย #วิธีการลงโทษ
ก็ควรต้องตกลงให้เด็กเข้าใจล่วงหน้า
และเมื่อเด็กทำพฤติกรรมซ้ำอีก เราก็สบตา พูดอย่างจริงจัง และก็ลงโทษตามที่ตกลงไว้ เช่น งดเล่น งดขนม (แล้วแต่ที่จะตกลงกันไว้)
ระวังอย่าใช้อารมณ์ หรือลงโทษลูกด้วยอารมณ์
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ เวลาที่เราทำผิด เราจะรู้สึกผิดโดยธรรมชาติ
แต่หากฝ่ายตรงข้าม ใช้อารมณ์กับเรา กล่าวโทษ หรือทำพฤติกรรมที่ทำให้เรารู้สึกโกรธ
ความรู้สึกโกรธ จะเข้าไปแทนที่ ความรู้สึกอยากรับผิดชอบ
และกลับมาปกป้องตัวเองแทน....นี่เป็นสัญชาตญาณปกติของมนุษย์
เด็กก็เช่นกัน
เด็กทำผิด ในใจเค้าก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่ผิด
แต่เมื่อพ่อแม่ใช้อารมณ์ลบใส่เค้า สมองของเค้าก็จะป้องกันตัวเอง
โดย สู้ หรือ ถอยหนี
เด็กก็จะแสดงพฤติกรรมลบในการตอบโต้พ่อแม่
แทนที่จะได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด กลายเป็นความโกรธเข้ามาแทนที่
เราก็จะไม่ได้สอน เด็กไม่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นๆเลย
===========================
2.พฤติกรรมที่ #ลูกจำเป็นต้องเรียนรู้
เช่น เรื่องกิจวัตรประจำวัน เรื่องวินัย มารยาทอันดี
#เรียกว่าเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เด็กคนนี้เป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและสังคม
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ให้พ่อแม่ทบทวนว่า เรื่องที่จะสอนเด็ก
#เราเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วหรือยัง
ถ้ายัง...ให้เราพัฒนาตัวเองไปพร้อมๆกับการปลูกฝังเรื่องนั้นๆให้กับลูก
แต่เราต้องก้าวนำลูก(ในเรื่องที่อยากจะสอน) อย่างน้อย 10 ก้าว
หลักสำคัญในการสอนพฤติกรรมในกลุ่มนี้คือ
"ทำให้เป็นตัวอย่าง+ความสม่ำเสมอ+ความคงที่ในการตอบสนองของพ่อแม่"
บอกวิธีที่ทำให้ลูกแสดงพฤติกรรมที่เราต้องการ
ในระหว่างที่กำลังฝึกพฤติกรรมเหล่านี้
จะมีพฤติกรรมเชิงลบที่เราไม่ต้องการแทรกเข้ามา
ให้ใช้วิธีเบี่ยงเบน+เพิกเฉยกับพฤติกรรมลบ แต่ชื่นชมเมื่อเค้าทำพฤติกรรมบวก
และจำเอาไว้ว่า การตอบสนองของเราต่อพฤติกรรมต่างๆต้องคงที่
สิ่งที่เราไม่ชอบ เราแสดงความไม่พอใจได้
อาจจะบอก ส่ายหน้า ส่งสัญญาณให้ลูกรู้
แต่ต้องทำทุกเหมือนกันทุกครั้ง
ไม่ใช่ตามอารมณ์ เรื่องเดียวกัน บางครั้งได้ บางครั้งโกรธ บางครั้งปล่อย
แบบนี้ทำให้เด็กสับสน และเลือกที่จะทดลองทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ
จนกว่าจะได้ข้อสรุปว่า ถ้าเค้าทำแบบนี้ แม่จะตอบสนองแบบไหนบ่อยที่สุด
==========================
3.พฤติกรรมที่ #ลูกควรเรียนรู้
เป็นเรื่องสัพเพเหระ ที่เราอยากให้ลูกเรียนรู้ แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบ
(แต่ละครอบครัวไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะคะ)
เช่นเรื่องเล็กๆน้อยที่หมออยากสอนให้ลูกบีบยาสีฟันจากปลายหลอด
ก็เช่นกัน ทำให้เป็นตัวอย่าง+ทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอ
เด็กๆโตมากับเรา ก็ต้องซึมซับ
หมอเล่าเรื่องเด็กน้อยที่บ้าน
อากงสอนซ้ำๆว่าก่อนขึ้นไปนอน (ชั้น 2 ) ต้อง check เสมอว่า
ประตูทุกประตูปิดเรียบร้อยรึยัง อากงพูดสอนทุกวันๆ ตั้งแต่เค้ายังเล็ก
จนตอนนี้ ลูกสาวหมอ รอบคอบกว่าหมออีกค่ะเรื่องประตูเนี่ย
.
การเลี้ยงเด็ก 1 คน ย่อมมีรายละเอียดมากมาย
เกินกว่าที่ใครจะเขียนคู่มือสำเร็จรูปให้ใครได้
หลักการต่างๆ มิได้ให้อ่านเพื่อท่องจำ
แต่อ่านให้เข้าใจหลักการ ให้จับหัวใจของเรื่อง
.
การที่สมองเรามีข้อมูลที่ดีเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องที่ดี
เพราะเวลาเจอสถานการณ์ที่เราต้องตัดสินใจ
ข้อมูลเหล่านี้ จะเป็น working memory ที่เราสามารถดึงไปใช้ได้
.
ก็บอกแล้วไงคะ สิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูก
คือการพัฒนาตัวเราเองให้ดีมากขึ้น
อยากมีลูก EF ดี ก็ต้องทำให้ตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่ EF ดีก่อนนะคะ
.
หมอแพม
「พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว」的推薦目錄:
- 關於พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的最佳解答
- 關於พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的精選貼文
- 關於พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว 在 4 ขั้นตอนปรับพฤติกรรมเล็กๆ เพื่อชีวิตที่ดีได้กว่าที่เป็น - YouTube 的評價
- 關於พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว 在 Phyathai 3 Family - หยุดทุกพฤติกรรมที่ต้องมีการใช้มือ ... - Facebook 的評價
พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的精選貼文
#สรุปวิธีคิดเรื่องเทคนิคในการปรับพฤติกรรมของลูก
หลายครั้งที่เขียนบทความเรื่องวิธีคิดในการฝึกนิสัย
ฝึกวินัยลูก
หมอได้เข้าไปอ่าน comment
หมอรู้แล้วค่ะ ว่าพ่อแม่ยังไม่เข้าใจเพราะอะไร
เรามักแยกพฤติกรรมของลูกเพียง 2 แบบคือ
พฤติกรรมที่พ่อแม่ OK กับ พ่อแม่ ไม่ OK
เราใจร้อน อยากหยุดสิ่งที่ลูกทำให้เราไม่ชอบใจ
แต่เราไม่เรียงลำดับความสำคัญ หรือความเร่งด่วน
ที่สำคัญ เราคิดว่าการสอนเพียงครั้งสองครั้ง
จะทำให้เด็กเปลี่ยนพฤติกรรมได้
ซึ่งจริงๆต้องใช้เวลา ความสม่ำเสมอ มากกว่านั้น
พฤติกรรมเชิงลบของเด็กๆ ก็มีรายละเอียดหลายอย่าง
ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่สามารถใช้เทคนิคเดียวกันได้
เช่น เราจะไม่ใช้เทคนิคเพิกเฉยกับพฤติกรรมที่อันตรายเด็ดขาด
หมอเลยรวบรวมขั้นตอน ตามความเข้าใจของตัวเอง...เพื่อทุกคนจะได้เข้าใจง่ายขึ้น (รึเปล่านะ)
===================================
#ขั้นแรก ให้จัดกลุ่มพฤติกรรมที่เราต้องการสอนลูกก่อน
1.#พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว
👉พฤติกรรมที่เป็นอันตรายทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่น
เช่น เล่นของมีคม เอามือแหย่ปลั๊กไฟ ขว้างปาข้าวของใส่พี่น้องเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
พฤติกรรมเหล่านี้ ต้องการความเด็ดขาด จริงจัง
ให้เด็กรู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่ ก็จะจริงจังโดยอัตโนมัติกันอยู่แล้ว
ถ้าเป็นเด็กเล็กที่ยังเข้าใจภาษาไม่มาก หลังจากที่อุ้มออกมาจากสถานการณ์เสี่ยงแล้ว
ให้สบตา แล้วพูดอย่างจริงจังว่า #ทำไม่ได้ พูดสั้นๆแต่เด็ดขาดและจริงจัง
(สำคัญกว่าการห้ามเด็ก คือ ผู้ใหญ่ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ลูกนะคะ)
หากเป็นเด็กวัยที่เข้าใจภาษาได้ดีแล้ว นอกจากสบตา พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เราอาจบอกเหตุผลเป็น I-message
“เมื่อกี้ แม่เป็นห่วงมาก กลัวลูกถูกไฟช๊อต”
“วันหลังไม่ทำนะลูก แม่ใจหาย กลัวลูกจะเป็นอันตราย”
เด็กๆเค้าจะได้รับรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เราห้าม เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเค้า
👉พฤติกรรมทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น ทำลายข้าวของ
เช่น ดึงผมแม่ ตีหน้าแม่ ก็ให้จับมือเค้า มองตา
แล้วบอกว่า แม่เจ็บ หยุดทำนะลูก
ทำอีก ก็จับมืออีก จ้องตา และบอกว่าทำไม่ได้ลูก
(เด็กแต่ละคนใช้ระยะเวลาที่พฤติกรรมเหล่านี้หายไปไม่เท่ากัน
แต่ถ้าเราทำเช่นนี้ตอนที่เราบอก เค้าจะหยุดแน่นอน ทำใหม่ เราก็สอนใหม่)
ถ้าทำร้ายตัวเอง ก็ให้หยุด เช่นจับมือ อุ้มเอาไว้ แล้วบอกว่า ไม่ทำ
ทำลายข้าวของก็เช่นกัน
ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แตก เราก็เก็บของชิ้นนั้นให้ออกไปจากสายตาเค้า
ถ้าตกแตก แล้วเป็นเด็กเล็ก เช่นอายุน้อยกว่า 3 ปี ก็ต้องกันเค้าออกไปจากบริเวณนั้นก่อน
แล้วค่อยสอนอย่างจริงจัง
ถ้าเป็นเด็กที่โต ให้เค้ารับผิดชอบสิ่งที่เค้าทำ
เช่น ช่วยทำความสะอาด หรือ อาจมีบทลงโทษที่ตกลงกันไว้ก่อน
และเหมือนเดิม สอนด้วยสีหน้าจริงจัง ว่า ทำไม่ได้
ถ้าต้องการหยุดพฤติกรรมทั้งสองอย่างนี้ด้วย #วิธีการลงโทษ
ก็ควรต้องตกลงให้เด็กเข้าใจล่วงหน้า
และเมื่อเด็กทำพฤติกรรมซ้ำอีก เราก็สบตา พูดอย่างจริงจัง และก็ลงโทษตามที่ตกลงไว้ เช่น งดเล่น งดขนม (แล้วแต่ที่จะตกลงกันไว้)
ระวังอย่าใช้อารมณ์ หรือลงโทษลูกด้วยอารมณ์
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ เวลาที่เราทำผิด เราจะรู้สึกผิดโดยธรรมชาติ
แต่หากฝ่ายตรงข้าม ใช้อารมณ์กับเรา กล่าวโทษ หรือทำพฤติกรรมที่ทำให้เรารู้สึกโกรธ
ความรู้สึกโกรธ จะเข้าไปแทนที่ ความรู้สึกอยากรับผิดชอบ
และกลับมาปกป้องตัวเองแทน....นี่เป็นสัญชาตญาณปกติของมนุษย์
เด็กก็เช่นกัน
เด็กทำผิด ในใจเค้าก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่ผิด
แต่เมื่อพ่อแม่ใช้อารมณ์ลบใส่เค้า สมองของเค้าก็จะป้องกันตัวเอง
โดย สู้ หรือ ถอยหนี
เด็กก็จะแสดงพฤติกรรมลบในการตอบโต้พ่อแม่
แทนที่จะได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด กลายเป็นความโกรธเข้ามาแทนที่
เราก็จะไม่ได้สอน เด็กไม่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นๆเลย
===========================
2.พฤติกรรมที่ #ลูกจำเป็นต้องเรียนรู้
เช่น เรื่องกิจวัตรประจำวัน เรื่องวินัย มารยาทอันดี
#เรียกว่าเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เด็กคนนี้เป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและสังคม
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ให้พ่อแม่ทบทวนว่า เรื่องที่จะสอนเด็ก
#เราเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วหรือยัง
ถ้ายัง...ให้เราพัฒนาตัวเองไปพร้อมๆกับการปลูกฝังเรื่องนั้นๆให้กับลูก
แต่เราต้องก้าวนำลูก(ในเรื่องที่อยากจะสอน) อย่างน้อย 10 ก้าว
หลักสำคัญในการสอนพฤติกรรมในกลุ่มนี้คือ
"ทำให้เป็นตัวอย่าง+ความสม่ำเสมอ+ความคงที่ในการตอบสนองของพ่อแม่"
บอกวิธีที่ทำให้ลูกแสดงพฤติกรรมที่เราต้องการ
ในระหว่างที่กำลังฝึกพฤติกรรมเหล่านี้
จะมีพฤติกรรมเชิงลบที่เราไม่ต้องการแทรกเข้ามา
ให้ใช้วิธีเบี่ยงเบน+เพิกเฉยกับพฤติกรรมลบ แต่ชื่นชมเมื่อเค้าทำพฤติกรรมบวก
และจำเอาไว้ว่า การตอบสนองของเราต่อพฤติกรรมต่างๆต้องคงที่
สิ่งที่เราไม่ชอบ เราแสดงความไม่พอใจได้
อาจจะบอก ส่ายหน้า ส่งสัญญาณให้ลูกรู้
แต่ต้องทำทุกเหมือนกันทุกครั้ง
ไม่ใช่ตามอารมณ์ เรื่องเดียวกัน บางครั้งได้ บางครั้งโกรธ บางครั้งปล่อย
แบบนี้ทำให้เด็กสับสน และเลือกที่จะทดลองทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ
จนกว่าจะได้ข้อสรุปว่า ถ้าเค้าทำแบบนี้ แม่จะตอบสนองแบบไหนบ่อยที่สุด
==========================
3.พฤติกรรมที่ #ลูกควรเรียนรู้
เป็นเรื่องสัพเพเหระ ที่เราอยากให้ลูกเรียนรู้ แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบ
(แต่ละครอบครัวไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะคะ)
เช่นเรื่องเล็กๆน้อยที่หมออยากสอนให้ลูกบีบยาสีฟันจากปลายหลอด
ก็เช่นกัน ทำให้เป็นตัวอย่าง+ทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอ
เด็กๆโตมากับเรา ก็ต้องซึมซับ
หมอเล่าเรื่องเด็กน้อยที่บ้าน
อากงสอนซ้ำๆว่าก่อนขึ้นไปนอน (ชั้น 2 ) ต้อง check เสมอว่า
ประตูทุกประตูปิดเรียบร้อยรึยัง อากงพูดสอนทุกวันๆ ตั้งแต่เค้ายังเล็ก
จนตอนนี้ ลูกสาวหมอ รอบคอบกว่าหมออีกค่ะเรื่องประตูเนี่ย
.
การเลี้ยงเด็ก 1 คน ย่อมมีรายละเอียดมากมาย
เกินกว่าที่ใครจะเขียนคู่มือสำเร็จรูปให้ใครได้
หลักการต่างๆ มิได้ให้อ่านเพื่อท่องจำ
แต่อ่านให้เข้าใจหลักการ ให้จับหัวใจของเรื่อง
.
การที่สมองเรามีข้อมูลที่ดีเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องที่ดี
เพราะเวลาเจอสถานการณ์ที่เราต้องตัดสินใจ
ข้อมูลเหล่านี้ จะเป็น working memory ที่เราสามารถดึงไปใช้ได้
.
ก็บอกแล้วไงคะ สิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูก
คือการพัฒนาตัวเราเองให้ดีมากขึ้น
อยากมีลูก EF ดี ก็ต้องทำให้ตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่ EF ดีก่อนนะคะ
.
หมอแพม
พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว 在 Phyathai 3 Family - หยุดทุกพฤติกรรมที่ต้องมีการใช้มือ ... - Facebook 的美食出口停車場
... รวมถึงอาจจะต้องมีการทานยาแก้อักเสบ และแพทย์อาจพิจารณาให้ใส่เฝือกอ่อนเพื่อพักข้อมือร่วมด้วยเพื่อให้อาการดีขึ้นเร็ว... ... <看更多>
พฤติกรรมที่ต้องหยุดให้เร็ว 在 4 ขั้นตอนปรับพฤติกรรมเล็กๆ เพื่อชีวิตที่ดีได้กว่าที่เป็น - YouTube 的美食出口停車場
นอกจากจะวางเป้าหมาย ให้ ชัดเจนแล้ว สิ่งสำคัญ ที่ จะเราทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ คือการออกแบบขั้นตอนหรือวิธีการ ที่ นำพาไปสู่เป้าหมายนั้น Atomic ... ... <看更多>