เมื่อทำธุรกิจเติบโตได้ในระดับหนึ่งจนเริ่มมีชื่อเสียง โดยเฉพาะการทำสื่อออนไลน์ที่เรียกได้ว่ามีอิทธิพลกับผู้คนมากๆ ในยุคนี้ สิ่งที่จะตามมาคือ จะเริ่มมีผู้คนเข้าหาคุณมากขึ้นเพราะเห็นประโยชน์ในตัวคุณ
.
ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าการหาผลประโยชน์นั้นไม่ดี เพราะถ้าว่ากันตามตรงการทำธุรกิจกับผลประโยชน์มันเป็นของคู่กันอยู่แล้วตราบใดที่อยู่บนความถูกต้องและโปร่งใส
.
ในช่วงที่ผมเริ่มมีชื่อเสียง ก็จะมีคนจากหลากหลายวงการติดต่อเข้ามามากมายเพื่อขอทำธุรกิจร่วมกันทั้ง ประกัน ขายตรง ธุรกิจเครือข่าย การศึกษา หนังสือ ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็มีข้อเสนอให้ผมมากมาย ทั้งข้อเสนอที่ดี และ ข้อเสนอที่ดูเหมือนจะดี (แต่มีเล่ห์นัย)
.
และช่วงเวลาแบบนี้แหละ คือ จุดชี้เป็นชี้ตายของธุรกิจ เพราะไม่ว่าคุณจะตัดสินใจแบบใด ผลของการตัดสินใจนั้นจะส่งผลต่อธุรกิจของคุณแน่นอนในอนาคต
.
ทุกครั้งที่ผมต้องตัดสินใจร่วมงานกับใครผมจะใช้ “การทดสอบผักขึ้นฉ่าย” ของ Simon Sinek ที่เขียนเอาไว้ในหนังสือ Start with why” เป็นหลักการในการตัดสินใจเสมอ
.
ลองจินตนาการว่าวันนี้คุณร่วมงานงานเลี้ยงอาหารค่ำที่มีผู้คนมารวมตัวกันเพื่อหาคอนเนคชั่นในการทำธุรกิจ มีใครบางคนเดินเข้ามาหาคุณแล้วพูดว่า “คุณรู้ไหมว่าบริษัทของคุณต้องการอะไร ช็อกโกแลตเอ็มแอนด์เอ็มไงล่ะ ถ้าไม่ใช่เอ็มแอนด์เอ็ม คุณจะพลาดโอกาสดีๆ ไปมาก”
.
จากนั้นก็มีอีกคนเดินเข้ามาหาคุณพร้อมกับพูดว่า “ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้คุณควรขายน้ำนมข้าวนะ เพราะจากข้อมูลบอกว่าตอนนี้ผู้คนกำลังนิยมน้ำนมข้าว”
.
ต่อมาระหว่างที่คุณกำลังกำลังเดินไปกดน้ำส้ม ก็มีอีกคนเอ่ยคำแนะนำอันชาญฉลาดกับคุณว่า “เราทำเงินได้เป็นล้านๆ จากการบิด ชิมครีม และจุ่มนม เพราะฉะนั้นคุณต้องทำแบบ โอริโอ”
.
ในระหว่างที่คุณกำลังฝันไปไกลถึงยอดขายมหาศาลจากคำแนะนำของผู้คนที่พบเจอ อีกคนก็เดินเข้ามาบอกคุณว่า “ผักขึ้นฉ่ายต่างหาก ห้ามพลาดมันเด็ดขาด”
.
หลังจากที่คุณได้รับคำแนะนำดีๆ มากมายจากคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น มีทั้งคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน บางคนประสบความสำเร็จมากกว่าคุณหลายเท่า ส่วนบางคนก็เอารูปถ่ายขึ้นมาโชว์ให้คุณดูเพื่อพิสูจน์ว่ามีคนมากมายประสบความสำเร็จเพราะทำตามคำแนะนำของเขา
.
เมื่อเห็นอย่างนั้น คุณจึงตัดสินใจไปที่ซุปเปอร์มาร์เกตเพื่อซื้อผักขึ้นฉ่าย น้ำนมข้าว โอริโอ และเอ็มแอนด์เอ็ม คุณใช้เวลาเดินหาของทั้งหมดอยู่หลายชั่วโมงไปพร้อมๆ กับการจ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อของทุกอย่าง ทั้งที่ไม่มีอะไรรับประกันว่าคุณจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ซื้อมาหรือไม่
.
แต่ในระหว่างที่คุณต่อแถวรอชำระเงินโดยถือผักขึ้นฉ่าย น้ำนมข้าว โอริโอ และเอ็มแอนด์เอ็ม เอาไว้ แล้วบังเอิญลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าจากคุณก็ต่อแถวชำระเงินอยู่ข้างๆ พวกเขาจะดูไม่ออกเลยว่าสรุปคุณเชื่อในสิ่งใด แล้วคุณกำลังทำอะไรกันแน่
.
นี่คือเหตุผลที่ผมบอกเสมอว่าการทำธุรกิจต้องมี “ความเชื่อ” เป็นตัวนำ เพราะมันจะทำให้รู้ว่า ”จุดมุ่งหมาย” ในการทำธุรกิจของคุณคืออะไร ถ้าจุดมุ่งหมายคือ การทำธุรกิจที่ดีต่อสุขภาพ ถึงแม้ว่าคุณจะได้รับคำแนะนำมามากมายเหมือนเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างคือ คุณจะไปที่ซุปเปอร์มาร์เกตเพื่อซื้อเฉพาะน้ำนมข้าวและผักขึ้นฉ่ายเท่านั้น คุณจะไม่เสียเวลาและเสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น ที่สำคัญคือ ลูกค้าที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างๆ จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคุณเชื่อในสิ่งใด และเขาก็จะมั่นใจที่จะเลือกสินค้าจากคุณ เพราะสิ่งที่คุณทำมันสะท้อนกับ “ความเชื่อ” ที่คุณมี เพราะความจริงแล้ว ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะสิ่งที่คุณทำ แต่เขาซื่อเพราะเหตุผลที่คุณทำสิ่งนั้นต่างหาก
.
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้รับการติดต่อจากคู่ค้าของแบรนด์สินค้าระดับโลกเพื่อทำธุรกิจร่วมกัน เขาบอกกับผมว่าตอนนี้กำลังมี โปรเจคที่จะช่วยให้คนไทยสามารถทำเงินได้แม้จะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำโดยที่ไม่ต้องลงทุน
.
ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเช่นกัน ประกอบกับสิ่งที่ผมกำลังทำ คือ อยากจะเปลี่ยนความคิดของผู้คนจากที่เคยคิดว่าการเริ่มต้นธุรกิจต้องมีเงินทุนเป็นไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนก็เริ่มต้นธุรกิจได้ ผมจึงตอบตกลงและนัดเจอกันเพื่อพูดคุยที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
.
เมื่อเจอกันแล้วเราก็พูดคุยกันเรื่องปัญหาของคนไทยโดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ขาดโอกาสการเข้าถึงในหลายด้าน ขณะเดียวกันเขาก็เล่าถึงความยิ่งใหญ่ของบริษัทคู่ค้าของเขาทั้งยอดขายระดับล้านล้าน และวิธีทำธุรกิจที่จะช่วยให้ผู้คนมีรายได้ผ่านออนไลน์แถมมีการยกตัวอย่างในเห็นภาพว่าถ้าคนในอำเภอบ้านผมสามารถเข้ามาทำธุรกิจตัวนี้ 1,000 คน ขายได้คนละ 5,000 บาท จะมีเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 5 ล้านบาทเลยนะ
.
หลังจากที่คุยกันราวหนึ่งชั่วโมงเขาก็พาผมไปดูสินค้าต่างๆ ที่จะให้คนสามารถขายได้โดยใช้แพลตฟอร์มของเขา ซึ่งผมก็ได้ไปลองใช้สินค้าจริงๆ กินจริงๆ ซึ่งถามว่าดีไหม มันดีมากๆ คุณภาพอยู่ในระดับพรีเมี่ยมเลย
.
หลังจากที่ทดลองใช้สินค้าก็มีพี่อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วก็อธิบายเหตุผลว่าทำไมคนถึงต้องทำธุรกิจกับเขา ซึ่งก็มีการพูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวพร้อมวาดภาพประกอบให้เห็นภาพว่าปัจจุบันการขายของออนไลน์คนเราต้องมีทักษะ 5 อย่าง คือ
.
1. ทักษะการใช้โซเชียลมีเดีย การเล่นเฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม ทั่วไป
2. ความรู้ด้านการทำคอนเทนต์
3. ความรู้ด้านการขาย
4. ความรู้ด้านการดำเนินการ การจัดการสต๊อก
5. ความรู้ด้านการจัดส่งสินค้า
.
แต่การทำธุรกิจกับเขา นั้นไม่ต้องมีความรู้ข้อ 2-4 เลย ขอแค่ใช้โซเชียลมีเดียเป็น เพราะเวลาขายสินค้าก็แค่ส่งลิงก์ให้ลูกค้าเข้าไปสั่งของผ่านแพลตฟอร์ม แล้วระบบจะจัดการขนส่งสินค้าไปถึงลูกค้าเอง หรือ ที่เรียกง่ายๆ ว่า Dropship
.
แถมไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการทำคอนเทนต์ ก็สามารถทำเงินได้เลย เพราะทางบริษัทจะมีทั้งรูปและคอนเทนต์ที่ทำสำเร็จรูปเอาไว้ให้ หน้าที่ของคุณแค่คัดลอกแล้วไปโพสต์ลง ช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองหรือจะแชร์การไลฟ์สดขายสินค้าจากบริษัทก็ได้ โดยที่เมื่อไหร่มีคนสั่งซื้อสินค้าจากลิงก์ของคุณไม่ว่าจะสั่งซื้อจากที่ใดในโลกก็ตาม คุณก็จะได้เปอร์เซ็นต์ทันที
.
หลังจากอธิบายข้อมูลทุกอย่างครบ เขาก็ถามผมว่า พร้อมลงทะเบียนเปิดระบบวันนี้เลยไหม โดยมีค่าใช้จ่ายราคา 600 บาท
.
ถ้าพูดกันตามตรงมันก็คือ การทำธุรกิจเครือข่าย นั้นแหละ คือ ให้เราลงทะเบียนเปิดระบบ แล้วไปหาคนมาเปิดระบบเป็นลูกข่ายต่อจากเรา โดยทุกการขายของลูกข่าย เราจะได้เปอร์เซ็นต์
.
ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าเทียบกับเงินลงทุน 600 บาท เพราะจากประสบการณ์ของผมปกติธุรกิจเครือข่ายจะหลอกให้คนไปฟังสัมมนาขายฝันแล้วเฉลยทีหลังว่าต้องลงทุน 30,000-50,000 บาท
.
แต่ในกรณีของผมเขาจะได้อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์เข้ามาช่วยเพิ่มพลังทวีด้วย หมายความว่า ถ้าผมตกลงร่วมโปรเจคนี้กับเขา ผมก็จะใช้ช่องทางออนไลน์ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 2 แสนคนในการโปรโมท ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะได้ลูกข่ายเพิ่มอีกจำนวนมาก ขอแค่โน้มน้าวให้ผมตอบตกลงได้เพียงคนเดียว
.
อย่างไรก็ตาม ผมตอบกลับไปทันทีว่า “ไม่พร้อมครับ”
.
เหตุผลเพราะ “ความเชื่อ” ในการทำธุรกิจของผมคือ “ความรู้ ต้องมาก่อน การทำเงิน และ ไม่มีใครทำเงินได้เกินขอบเขตความรู้ของตัวเอง”
.
โอเค ข้อ 4 กับ ข้อ 5 เราไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ เพราะการจัดการสต๊อก กับ การจัดส่งสินค้า เป็นสิ่งที่ให้คนอื่นทำแทนได้
.
แต่ข้อ 2 กับ ข้อ 3 ถ้าไม่มีความรู้ด้านการทำคอนเทนต์และการขาย มันเป็นเรื่องยากมากที่จะประสบความสำเร็จด้านการทำออนไลน์ในยุคนี้ จำได้ไหมในบท การเขียน ทักษะที่มีผลต่อปากท้อง ผมเล่าว่า มีลูกเพจที่ขายของออนไลน์ส่งข้อความมาหาผมว่าการขายออนไลน์ในยุคนี้มันยากกว่ายุคก่อน ซึ่งปัญหามันก็เกิดจากการไม่มีความรู้ด้านคอนเทนต์และการขายนั้นแหละ ฉะนั้นมันเป็นไปได้ยากที่จะเอาคอนเทนต์และภาพสินค้าสำเร็จรูปมาโพสต์หน้าเฟซบุ๊คแล้วจะขายได้
.
ที่สำคัญคือ ผมพยายามสื่อสาร “ความเชื่อ” นี้กับผู้คนมาตลอดว่าถ้าคุณจะขายออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องทำคอนเทนต์ให้ทรงพลังและมีอิทธิพลกับผู้อ่านก่อน
.
ลองจินตนาการดูว่า ผมสื่อสาร “ความเชื่อ” แบบนี้กับผู้คนมาตลอด 1 ปี แล้วอยู่ๆ ผมก็มาประกาศว่า “คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้ก็ขายออนไลน์ได้” ผู้คนคงมองเห็นผมไม่ต่างกับคนที่ไป ซุปเปอร์มาร์เกตแล้วซื้อทั้ง ผักขึ้นฉ่าย น้ำนมข้าว โอริโอ และเอ็มแอนด์เอ็ม นั้นแหละ
.
ว่าสรุปแล้วผมมี “ความเชื่อ” ในสิ่งใดกันแน่ ต้องมีความรู้ก่อน หรือ ไม่ต้องมีก็ได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเลือกติดตามผมก็เพราะมี “ความเชื่อ” เดียวกับผม
.
สุดท้าย จุดมุ่งหมาย ทางธุรกิจก็จะคลุมเครือ คราวนี้ผู้คนก็คงสับสนว่าจะเลือกผมด้วยความเชื่อแบบไหนกันแน่ แล้วพลังในการสื่อสารกับผู้คนของผมก็จะเสื่อมถอยลง ไม่ต้องพูดถึงความจงรักภักดีเลยเพราะมันคงไม่มีเหลือ
.
การใช้ “ความเชื่อ” และ “จุดมุ่งหมาย” เป็นตัวกรองในการตัดสินใจทุกอย่างจะช่วยให้คุณไม่เดินหลงทางในเส้นทางธุรกิจของตัวเอง ถึงแม้การกินผักขึ้นฉ่าย กับ น้ำนมข้าว อาจจะไม่ได้ผลประโยชน์ที่หอมหวานในระยะสั้นเหมือนการกิน โอริโอ กับ ช็อกโกแลตเอ็มแอนด์เอ็ม แต่รับรองว่ามันดีต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างแน่นอน
.
.
.
เพราะทุกความสำเร็จทางธุรกิจตั้งต้นจากคำถามเพียงข้อเดียว "ทำไมต้องเริ่มด้วย ทำไม" หนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจแก่นของธุรกิจ จนสามารถสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและอยู่เหนือทุกการแข่งขัน
.
.
“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
.
แต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน
ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
.
สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ
ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล
ผักขึ้นฉ่าย 在 เคล็ดไม่ลับกับครัวคุณต๋อย ตอน “ข้อควรระวังในการรับประทานผัก ... 的美食出口停車場
เคล็ดไม่ลับกับครัวคุณต๋อย ตอน “ข้อควรระวังในการรับประทาน ผักขึ้นฉ่าย ” ผักขึ้นฉ่าย มีประโยชน์ช่วยทำให้เจริญอาหาร เป็นผักที่มีโพแทสเซียมสูง ... ... <看更多>