13 พฤษภาคม 2019 เป็นวันที่ผมเริ่มสร้างเพจสมองไหล แต่มาลงบทความแบบสม่ำเสมอจริงๆ ก็ช่วงเดือนกันยายน เพราะตอนนั้นผมให้ความสำคัญกับใน Blockdit เสียมากกว่า
.
จนปัจจุบันเพจสมองไหลมีอายุประมาณ 2 ปี กับผลลัพธ์ที่ได้คือ การมีผู้ติดตามมากกว่า 500,000 คน รวมทุกช่องทาง และสามารถทำเงินจากเพจได้สูงสุด 5 ล้านบาท ภายใน 1 ปี (เริ่มทำเงินในปีที่ 2) ทั้งจากการขายหนังสือ สปอนเซอร์ พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และ ด้านการศึกษา
.
ทั้งนี้ผมต้องถือโอกาสขอบคุณแฟนเพจทุกท่าน ที่สนับสนุนผมจนถึงวันนี้ เพราะถ้าไม่มีคุณ ก็ไม่มีผมวันนี้เช่นกัน คุณคือ คนที่ผม “นึกถึง” ก่อน “ลูกค้า” เสมอ...
.
“ถ้าเราทำคอนเทนต์ดี เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินยิง Ads แม้แต่บาทเดียว”
.
นี่คือ คำสั้นๆ ที่กลั่นมาจากประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้มาทั้งหมดจากการทำเพจมาตลอด 2 ปี แล้วในคำสั้นๆ ที่ว่านี้ มันมีอะไรที่คนกำลังเริ่มต้นทำเพจ ทำสื่อ ทำธุรกิจ หรือ ขายออนไลน์ สามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง ผมจะเล่าให้ฟัง…
.
หลายคนเข้าใจว่าการยิง Ads สามารถเพิ่มยอดขายได้ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนก็รู้แล้วว่ามันไม่เป็นความจริง
.
การยิง Ads ก็เหมือนการที่เราจ้างคนแจกใบปลิว ไปแจกลูกค้า ยิ่งยิงมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับการจ้างหลายคนมากเท่านั้น
.
แต่คำถาม คือ การมีคนแจกเยอะ ช่วยเพิ่มยอดขายจริงๆ หรอ ?
.
คำตอบ คือ “ไม่”
.
เพราะตัวตัดสินว่าลูกค้าจะซื้อของๆ คุณหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “คนแจกใบปลิว” แต่ขึ้นอยู่กับตัวใบปลิว ซึ่งก็คือ “คอนเทนต์” ต่างหาก
.
ถ้าคอนเทนต์ คุณดึงดูดมากพอลูกค้าก็จะเดินมาที่หน้าร้านเพื่อซื้อของคุณจากที่อยู่ในใบปลิวนั้น หรือ ไม่ก็เอาไปส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูอีก เปรียบเหมือนการ “แชร์”
.
แต่ถ้าคอนเทนต์ที่คุณทำออกมามันไม่สามารถทำให้ลูกค้าอยากซื้อได้ ต่อให้มีคนแจกใบปลิวมากเท่าไหร่ หรือแจกสักกี่ใบ ลูกค้าก็เอาไปทิ้งถังขยะ ซึ่งเปรียบเหมือนการ “เลื่อนผ่าน” อยู่ดี
.
ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องกลับมาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การทำ “คอนเทนต์” เมื่อทำคอนเทนต์ได้อย่างทรงพลังแล้ว การยิง Ads หรือ การจ้างคนแจกใบปลิวถึงจะใช้ได้ผล
.
.
# แต่ก่อนจะทำคอนเทนต์ เราต้องเข้าใจก่อนว่าคอนเทนต์นั้นมีกี่ประเภท ซึ่งโดยหลักแล้วมันจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
.
1) Topical Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์ที่ทำออกมาตามกระแสต่างๆ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเหตุการณ์ข่าวสารในแต่ละวัน ว่าอะไรที่เขากำลังฮิต อะไรที่คนพูดถึงในช่วงนี้ และต้องลงให้ถูกจังหวะเวลาด้วย คือ ถ้าช้าเพียง 1 ชั่วโมง ก็อาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว ซึ่งข้อดีของมันคือเรียก Traffic ได้ดีมาก แต่ข้อเสียของมันคือ มันอยู่ได้ไม่นาน ใช้ได้ครั้งเดียว ผ่านแล้วก็ผ่านไป
.
คนที่ติดตามผมมาตลอดจะรู้ว่าผมไม่ค่อยทำคอนเทนต์ประเภทนี้สักเท่าไหร่ อาจจะมีบ้างบางครั้ง แต่ไม่บ่อย
.
2) Evergreen Content หรือ เรียกง่ายๆ คือ คอนเทนต์แนว ความรู้, ปรัชญา, How to ข้อดีของมันคือมันจะไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา แม้จะผ่านไป 1 วัน 1 เดือน 1 ปี ก็ยังสามารถอ่านได้ไม่มีเบื่อ และนำมาใช้ได้จริงในชีวิตเสมอ แต่คอนเทนต์ประเภทนี้ถ้าไปลงในช่วงที่มีกระแสเรื่องอื่นอยู่ อาจจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก และทำยากกว่าแบบเเรกมาก
.
ซึ่งผมจะทำคอนเทนต์ประเภทนี้เป็นหลัก
.
3) Value Content หรือ คอนเทนต์แบบเน้นคุณค่า นี่คือ สุดยอดคอนเทนต์เลยก็ว่าได้ เพราะมันคือการนำ 2 ข้อแรกมาผสมผสานกัน จึงทำให้คอนเทนต์แบบนี้สามารถเรียกได้ทั้งกระแส และ มีการสอดเเทรกความรู้ลงไปด้วยไม่ให้เสื่อมค่าตามการเวลา ทำให้คอนเทนต์มีความสมบูรณ์แบบและเป็นอมตะ แต่ประเด็นคือ มันทำโคตรยาก เพราะต้องทำให้มันทั้งมีคุณค่าและถูกที่ถูกเวลาด้วย แต่ถ้าทำได้ บอกเลยว่าผลของมันคุ้มค่ามากๆ
.
ซึ่งผมเคยทำคอนเทนต์แบบนี้ได้ประมาณ 10 ครั้ง ตลอด 2 ปี เช่น คอนเทนต์เรื่อง ทิลลี่ สมิธ ช่วยคนชาวจังหวัดไม้ขาวให้รอดชีวิตจากสึนามิ และ เผยแพร่ในวันรำลึกสึนามิพอดี ซึ่งผลลัพธ์ของมันคือ บทความนี้ได้ถูกหยิบยกไปในรายการข่าวใส่ไข่ ทางช่องไทยรัฐทีวี
.
ส่วนอีกเรื่องคือ บทความ ประวัติศาสตร์โรคระบาดร้ายแรง ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 100 ปี เผยแพร่ในช่วงไวรัส covid-19 ระบาดแรกๆ ซึ่งผลของมันคือ คุณหนุ่มกรรชัย เชิญผมไปออกรายการโหนกระแส ทางช่อง 3 จากบทความนี้
.
รวมทั้งบทความอื่นๆ อย่าง คนขับรถของลีกาซิง, โรงงานผลิตยาสีฟัน, เด็กอเมริกันจะหยุดเรียน 2 ปี เพื่อค้นหาตัวเองก่อนเข้ามหาลัย, จุดประสงค์ที่แท้จริงของเทศกาล 11.11 ของอาลีบาบา และธนบัตรญี่ปุ่น ที่มีผู้แชร์มากกว่า 20,000 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้ยอดการติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 3,000 เป็น 150,000 คนภายใน 4 เดือน
.
# ทำคอนเทนต์เพื่อให้คน "กดแชร์" มากกว่าแค่ "กดไลค์"
.
เป้าหมายในการทำคอนเทนต์ของผม คือ การทำให้คนแชร์มากกว่าคนกดไลค์ และเเน่นอนว่าการทำให้คนแชร์นั้นยากกว่ายอดกดไลค์อยู่แล้ว เพราะผมเชื่อเสมอว่า การที่คนยอมกดแชร์คอนเทนต์เราออกไปหมายความว่า เขาอยากจะบอกต่อคอนเทนต์นั้น ซึ่งสำหรับผมมันมีคุณค่ามากกว่าการที่เขาแค่กดไลค์หรือชอบมันเพียงคนเดียว
.
แต่ก่อนที่เราจะทำคอนเทนต์ให้คนแชร์ได้ เราต้องรู้เหตุผลที่ทำให้คนแชร์คอนเทนต์ของเราก่อน ซึ่งหลักๆ มันมีอยู่ 5 อย่าง คือ
.
1) ภาพลักษณ์ทางสังคม การที่เขาแชร์อะไร หน้าฟีตของเขา มันต้องทำให้เขามีภาพลักษณ์ดีขึ้น เพราะคงไม่มีใครอยากแชร์อะไรที่ทำให้คนอื่นมองตัวเองไม่ดีอยู่แล้ว
.
2) ตัวกระตุ้น คือ บทความที่ช่วยกระตุ้นให้เขาได้ฉุกคิดหรือลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างได้ ซึ่งมันคือ คอนเทนต์สั้นๆ ที่ผมลงทุกเช้า ให้คุณได้อ่านก่อนออกไปทำงาน เพื่อช่วยกระตุ้นและให้กำลังใจคุณ ซึ่งคนมักจะแชร์เสมอ
.
3) อารมณ์ความรู้สึก คือ อ่านแล้วเกิดอารมณ์ร่วม ส่วนใหญ่เป็นบทความแนวเรื่องเล่า
.
4) ความมีประโยชน์ อันนี้ชัดเจน ถ้ามีประโยชน์ใครๆ ก็อยากแชร์ไว้ให้ตัวเองอ่านซ้ำๆ หรือ อยากส่งต่อมันให้คนอื่น
.
5) เป็นเรื่องเล่า เพราะธรรมชาติของคนชอบเรื่องเล่ามากที่สุด และสิ่งที่คนจดจำได้ดีที่สุดคือเรื่องเล่า และเรื่องเล่าเป็นสิ่งที่คนชอบนำไปเล่าต่อ
.
ผมใช้หลักการนี้ในการทำคอนเทนต์เสมอ นั่นจึงทำให้ถึงแม้บางคอนเทนต์จะเป็นโฆษณา แต่คนก็ยังอยากจะแชร์มันอยู่ดี
.
.
# พาดหัว คือ “จุดชี้เป็นชี้ตาย” ของคอนเทนต์ เพราะมันคือตัวตัดสินว่าคนจะหยุดอ่านคอนเทนต์ของเราหรือไม่ ?
.
นี่ คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญ 70% เลยก็ว่าได้ เพราะคนจะอ่านตรงนี้ก่อน ถ้ามันไม่โดนใจ เนื้อหาดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
.
ซึ่งพาดหัวนั้นมีส่วนประกอบอยู่ 2 อย่างหลักๆ คือ “ตัวอักษร” และ “ภาพ” ต้องผสมผสานระหว่างสองอย่างนี้ให้ลงตัว
.
ซึ่งการคิดคำพาดหัวนั้นบอกเลยครับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากใช้เทคนิคแล้ว ต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย บอกเลยว่าตรงส่วนนี้ผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 40 นาที กว่าจะคิดคำพาดหัวที่สมบูรณ์แบบออกมาได้
.
และสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ผู้อ่านมีเวลาแค่ 2 วินาทีเท่านั้น ในการตัดสินว่าจะอ่านคอนเทนต์ของเราหรือเลื่อนผ่านไป ซึ่งสิ่งที่ตัดสินก็คือ “พาดหัว” เพราะฉะนั้น เราต้องตอบให้ได้ ผู้อ่านจะได้อะไรจากคอนเทนต์ของเรา ใส่มันลงไปในพาดหัวให้ได้
.
แล้วสิ่งที่เราต้องการสื่อทั้งหมด ค่อยมาใส่ตรง “เนื้อเรื่อง”
.
และสุดท้าย คอนเทนต์ของเรามีผลกระทบอะไรกับผู้อ่านบ้าง ใส่ลงไปใน “สรุป” ช่วงท้าย
.
ทั้งหมดนี้ คือ เทคนิคที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในการทำเพจได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณามากมาย เพราะต่อให้ยิง Ads หนักแค่ไหน แต่ถ้าคอนเทนต์ไม่ดี คนก็เลื่อนผ่านอยู่ดี...
.
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ผมไปเอามาจากไหน ?
.
คำตอบ คือ ผมไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด หรือ รู้ด้วยตัวเองทั้งหมดหรอกครับ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันเกิดจากการฝึกฝน การลองผิดลองถูก และ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาตลอด 2 ปี
.
แต่ถ้าอาศัยแค่การลองผิดลองถูกอย่างเดียว มันก็คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ เพราะเราต้องนั่งงมไปกับสิ่งที่ไม่รู้ ลองโดยไม่มีเป้าหมาย ซึ่งมันเสียเวลามากๆ
.
แต่โชคดีที่ตอนทำงานประจำผมรู้จักกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์ด้านนี้มา 8 ปี เป็นเจ้าของเพจชื่อดังที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้าน ซึ่งคอยสอน คอยชี้แนะ ให้คำปรึกษา บอกเป้าหมายที่จะต้องเดินไป มันจึงทำให้เส้นทางการลองผิดลองถูกของผมนั้น ไม่ค่อยจะพลาดเป้า และ เสียเวลามากนัก
.
ผมกล้าพูดเลยว่า ถ้าไม่มีพี่คนนี้ ก็คงไม่มีผม ไม่มีสมองไหล และ ไม่มีหนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจ เช่นกัน เพราะหลายสิ่งที่ผมทำ ผมได้เรียนรู้มาจากเขาเกือบทั้งหมด
.
เพราะจริงๆ แล้วชีวิตคนเราไม่ได้ยาวพอที่จะเสียเวลาเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะการลองผิดลองถูกแบบไม่มีเป้าหมาย มันอาจจะนานกว่าที่คิด
.
และ แน่นอนว่า คุณเองก็คงไม่อยากเป็นคนที่ลองผิดลองถูกเองแบบไม่มีเป้าหมาย ทำมาตั้งนานแต่จับทางยังไม่ถูก ทำไปเท่าไหร่ก็ยังไม่ก้าวหน้าสักที
.
วันนี้ผมจึงกลั่นบทเรียนจากประสบการณ์ทั้งหมดในการทำธุรกิจออนไลน์มาตลอด 2 ปี มาให้คุณเรียนรู้ ลงมือทำ และ ได้ผลลัพธ์ทันทีภายใน 2 เดือน ในคอร์ส Online Signature Master Class 2021 ซึ่งตอนนี้มีพี่น้องมากกว่า 300 คน เข้ามาลุย และ ได้ผลลัพธ์จริงนับไม่ถ้วนแล้ว
.
ยกตัวอย่างเช่น
.
# คุณอานนท์ ซึ่งทำอาชีพขายประกัน ทักมาบอกผมทันทีที่เรียนจบคอร์สไปเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ ว่า…
.
ผมใช้วิธีการขายแบบเสียงย่างเนื้อ ก็สามารถทำยอดขายประกันได้ 3 ล้านภายในเดือนเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากช่องทางออนไลน์ทั้งหมด”
.
# คนต่อมาที่เติบโตแบบก้าวกระโดดไม่แพ้กัน คือ คุณชมพู เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายตัวหนึ่ง เธอบอกกับผมว่า
.
“ตอนเริ่มต้นทำแบรนด์ คือ ตอนอายุ 20 ค่ะ แต่ตอนนั้น ทำไปเพราะแค่อยากมีรายได้ ไม่มีทุนโปรโมต ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น ลองผิดลองถูกเอา คือ ตอนนั้นสั่งของมาทดลองใช้เอง ใช้แล้วผิวดีขึ้น ก็เริ่มโพสต์ขายเลย ดั้นด้นขายแบบออแกนิคมา 2 ปีค่ะ ขายใน Shopee เฟซบุ๊ก และ ไอจี ซึ่งตอนนั้นก็ทำแบบขำๆ ตัดภาพเองแบบตลกๆ ก็เลยไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไหร่ และในช่วง 2 ปีนี้ ก็มีลองยิงแอดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีเท่าไหร่
.
จนมา ปีที่ 3 ปีนี้ (ปัจจุบัน) เป็นปีการเปลี่ยนแปลง ช่วง ต้นปี 64 เดือนมกราคม ก็ยังโพสต์ขายอยู่ แบบเรื่อยๆ เดือนมกราคมยอดไลค์ ยอดผู้ติดตามอันน้อยนิด แบบ 2 ปีที่ผ่านมาเลย
.
แต่พอได้มาเรียนในคอร์สนี้ แล้วลองทำ ลองโพสต์ และลองทำตามเทคนิคไปสักระยะ บวกกับมาลองยิงแอดอีกครั้ง คือ งง มาก มันปังค่ะพี่ เป็นครั้งแรกที่ได้แตะออเดอร์วันละ 100 บ้าน ด้วยงบยิงแอดแค่ 90 บาท พอรู้สึกว่ามันดี ก็เลยไปสอนตัวแทนขายต่อค่ะ สอนเค้าแบบบ้านๆ เลย .
.
สรุปคือ ตัวแทนทำตาม นางขายได้ แลดูจะเข้าใจง่ายด้วย คือ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
.
**ผลลัพธ์ในปัจจุบัน
.
2 ปีที่ ขายมา
ปีแรก 62 มีเงินเก็บแค่ 10,000 บาท/ปี
ปีสอง 63 มีเงินเก็บถึง 50,000 บาท/ปี
(ดั้นด้นเอง มึนๆ มั่วๆ)
.
ปีที่สาม (ปัจจุบัน 64) แค่ช่วง 5 เดือนนี้ มีเงินเก็บ เกือบ 1 ล้านบาท (ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ค่ะ)
.
**ความต่างที่ชัดคือ ในระยะ 5 เดือนนี้ ที่ตัดสินใจเติมความรู้ เหมือนได้เบิกเนตร คือ มันต่อยอดได้แบบสุดจริงค่ะ**
.
.
# อีกคนหนึ่งคือ น้องภัค สาวน้อยวัย 19 ปี ที่เข้ามาในคลาส Online Signature ทั้งที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ แต่เมื่อเรียนไปถึงบทที่ 3 ผมก็ให้ทุกคนทำ Workshop ชิ้นหนึ่ง คือ ให้ขายสินค้าของตัวเองโดยใช้เทคนิคที่สอนไป แต่ถ้าใครยังไม่มีธุรกิจของตัวเอง ก็ให้หยิบของในบ้านมาทำ Workshop ไปก่อน ซึ่งน้องภัคก็ไปหยิบสเปรย์ระงับกลิ่นกายของตัวเองมาขาย
.
ผลปรากฎว่ามีเพื่อนๆ ในคลาสดูการบ้านที่น้องภัคทำส่ง แล้วก็สั่งซื้อจริงๆ เธอก็เลยลองไปเปิดเพจขายจริงดู จนล่าสุดเธอมาบอกผมว่า “ลองเริ่มขายไปได้แค่เดือนเดียว ยอดขาย 5,000 บาท แล้วค่ะ ตอนนี้กำลังจะลองยิงแอดตามเทคนิคที่สอนในคลาสเพิ่ม เพื่อกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้นอีก”
.
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพี่น้องอีกกว่า 300 คน เท่านั้น ที่ผมหยิบยกมาเล่าให้ฟัง ซึ่งถ้าจะให้ผมเล่าเคสทั้งหมดทุกคน ก็คงเขียนเป็นหนังสือเล่มนึงได้ เอาเป็นว่าหากคุณอยากจะรู้ว่าพี่น้องแต่ละคนในคลาสเขาเติบโตก้าวกระโดดขนาดไหน ก็เข้ามาลุยกับพวกเราในคลาส Online Signature ได้ครับ .
.
# โดย คลาส Online Signature Master Class 2021 จะลุยกันทั้งหมด 10 บทเรียน ประกอบด้วย
.
Module 1 : Overview เข้าใจภาพรวมการตลาดออนไลน์
Module 2 : กลยุทธ์สร้างความต่างทางธุรกิจ โดยไม่ต้องแข่งราคา
Module 3 : จิตวิทยาปิดการขาย
Module 4 : Inbound Content Marketing การตลาดคอนเทนต์แบบแรงดึงดูด
Module 5 : การเขียนโพสต์ขายแบบป้ายยา
Module 6 : ศิลปะการเขียนโพสต์ขายตรง ให้ทำเงินได้แบบ Passive Income (Copy Writing)
Module 7 : การตลาด เพิ่มยอดขาย 2-10 เท่า แบบยั่งยืน
Module 8 : เทคนิคสร้างเพจให้พรีเมี่ยมด้วย Canva
Module 9 : Data thinking
Module 10 : การยิง Ads ขั้นสูง
.
✅ Bonus class : วิธีสร้างธุรกิจ ทดลองตลาด โดยไม่ต้องใช้เงินทุน
✅ Bonus class : การบริหารเงินธุรกิจ
.
และผมจะอัพเดทเนื้อหาและเทรนด์การตลาดออนไลน์ใหม่ๆ แบบเรียลไทม์เป็น Bonus ให้ทุกเดือนจนถึงสิ้นปี 2021
.
ทั้งหมดนี้เราจะเรียนกันแบบออนไลน์ เรียนที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ และ สามารถเรียนซ้ำได้ตลอดชีพครับ
.
คอร์ส Online Signature Master Class 2021
จากปกติราคา 46,000 บาท
ช่วงโปรโมชั่นเหลือเพียง 18,000 บาท
.
แต่เดี๋ยวก่อน !! เฉพาะคนที่แชร์โพสต์นี้ และ สมัครเข้ามา 10 คนแรก
คุณสามารถเข้ามาลุยในคอร์สนี้ในราคาเพียงพิเศษ 10,860 บาท เท่านั้น !!
.
# พร้อมรับของขวัญสุดพิเศษ เป็นคำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room ที่อาจารย์เจษแห่งสำนัก Ohmpiang นักขายมือโปร ที่สามารถขายของทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัว ในแบบที่เหมือนเพื่อนคุยกัน แต่ทุกคนที่ฟังต้องควักกระเป๋าเงินออกมาซื้อแบบ งงๆ ทุกที โดย อ.เจษ จะแอบมา Live เรื่อง “การขาย” ให้ฟังพร้อมเปิดรับคำถามและแจกสคริปต์การขายเรื่อยๆ แบบฟรีๆ
.
หากใครอยากจะลุยไปด้วยกัน ก็ทักไลน์มาได้ครับที่ @samounglai (ใส่ @ ข้างหน้าด้วย) จากนั้นบอกทีมงานว่า “ลุย OSM”
.
ปล1. ราคาพิเศษ 10,860 บาท และ คำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room นี้ เฉพาะ 10 คนแรก เท่านั้น !!
.
ปล2. สามารถชำระผ่านบัตรเครดิต หรือ ผ่อน 0% นาน 10 เดือนได้ (บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ)
.
ปล3. เมื่อเข้ามาเรียนแล้วคิดว่าไม่คุ้ม ผมยินดีคืนเงินให้เต็มจำนวน ภายใน 7 วัน
ทำธุรกิจ 2 คน 在 Aten Arnon: เอเท็น อานนท์ Prince of Marketing Facebook 的精選貼文
เพจโตขึ้น
ธุรกิจดีขึ้น
ถ้าทำ80-15-5
80-15-5 ตัวเลขนี้เป็นคัมภีร์
เป็นหัวใจนึงในOTO (Online Take Over )
ใครพูดตัวเลขนี้
จะรู้เลยว่า
เค้ามาจาก OTO 2019-2020แน่นอน
และยิ่งถ้าคุณได้ยินใครพูดว่า
ทำเพจ แบบ 80-15-5
หรือ ทำSocial แบบ80-15-5
หรืออยู่ดีเค้าละเมอพูดว่า 80-15-5
ให้สันนิฐานไว้เลยว่า
“ไอ้นี้มันมาจากแก๊งค์ OTO
สืบเชื่อสายมาจากOTO 2019-2020 แน่นนอน”
ฮ่าๆ
=================
ที่จริงแล้วมันเรียบง่าย
แต่ว่ามันมีดีเทลแต่ละส่วนแฝงอยู่
ถ้าพูดง่ายๆให้พอเอาไปใช้ได้คือ
ปกติทั่วไป พอนึกถึงการขาย
ทำธุรกิจ ผ่าน Social
หรืออย่างเพจFacebook
ณ 3-5ปีที่ผ่านมา
=============ช่วงแรก ช่วงแห่งความฝัน (เจ้าแห่งการขาย)
(ก้าวที่สำคัญ)
ส่วนใหญ่เริ่มต้นมา
ก็จะคิดฝันกันแบบอย่างง่ายเลย
คือ....
“เปิดเพจ -Postขาย-ยิงแอด“
แล้วก็จะพบความจริงว่า
การทำห้วนๆแบบนั้นมัน
“แป๊ก ขายไม่ได้”
แล้วพอขายไม่ได้...
ถ้าจิตใจยังโอเค
ก็จะเริ่มได้เรียนรู้จริงๆก็ตอนนี้แหละ
“เค้าก็จะเริ่มเรียนศึกษา.....”
“การทำPostขายให้โดน”
“ก่อนที่จะยิงแอดออกไป”
เมื่อปรับปรุง
ช่วงนี้ไปเรื่อยๆ
มันก็จะพอจับทิศทางได้
เริ่มเข้าใกล้ความจริง
ก็จะได้เบาะแสะเป็น
ขายได้บ้าง?
ขายไม่ได้บ้าง?
หรือยังขายไม่ได้เลย?
============ช่วง2 ช่วงทำความเข้าใจ
พอถึงช่วงนี้
ก็จะเป็นช่วงที่
พูดคุยกับตัวเอง
ว่า....
ทำไมสินค้าเรา
บริการของเรา
ลูกค้าไม่มาใช้บริการหรือซื้อเลย
หรือไว้ใจมาซื้อน้อยมาก
เพราะอะไร?
ซึ่งเป็นช่วงที่ตั้งคำถามกับตัวเอง
เริ่มมองไปที่คนที่ขายดี
ว่าเค้ามีอะไรบ้าง?
เค้าทำอะไร?
จนเริ่มมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง
ว่า....
แล้วเราล่ะ?
ขาดอะไร?
ช่วงนี้หลายคนก็จะค้นพบว่า
เอ้อ
เพจเรามีแต่Postขายตรงๆ
ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย
ถ้าเป็นเราเองเราจะใช้บริการ
หรือซื้อกับคนแบบนี้ไหม?
จะกล้ามาเป็นเหยื่อไหม?
พอได้คำตอบ
ก็เริ่มเอาสิ่งเหล่านี้
ใส่เข้าไปในเพจ
ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อถือ
และไม่เสี่ยง
รีวิวเริ่มมา
คำนิยมเริ่มโผล่
เริ่มมีคอนเทนต์อะไรให้น่าเชื่อถือ
ลูกค้าเริ่มซื้อ
บางคนเริ่มขายได้ต่อเนื่อง
บางคนยิงแอดแล้วไปได้ดี
==================ช่วงที่3 ช่วงตัน
ถึงจุดนี้ ทำPostขายเมามัน
ทำรีวิวเมามัน
ยิงแอดเมามัน
ไปได้ดี
จนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่า
ทำไมมันเริ่มแปลก
แอดเริ่มแพง
เริ่มต้องปรับpostขายบ่อยขึ้น
เริ่มคิดว่าจะทำยังไง
เริ่มหาทางออก
ทำไปสักพักก็.....
เริ่มรู้ว่าที่ทำอยู่
น่าจะไม่ใช่ทางออก
=============ช่วงที่4 ศึกษา+หาสมดุล
ก็จะเริ่มหาทางออกใหม่ๆ
ช่วงนี้จะ
เริ่มเรียนรู้การทำContent ดีๆ
ที่เป็นประโยชน์เป็นคนซื้อ
เพราะรู้ว่า Content
คือตัวที่จะทำให้ลูกค้ามีRelationshipกับเราในเพจ
คือตัวที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่กำลังเข้าถึงแก่นที่แท้จริง
ผมจะเจอหลายคนเข้ามาในOTO
เพื่อแก้ปัญหานี้
ผลคือเมื่อเค้าเข้ามา
เค้าก็ได้รู้อีกข้อเท็จจริงว่า
มีคนแค่3%เท่านั้น
ที่ซื้อเลยทันที
แต่อีก97%
เค้าหาข้อมูลและศึกษาทำการบ้านก่อน
นั่นหมายความว่า
ถ้าเค้าทำเพจแบบขายอย่างเดียว
=เค้ากำลังทิ้งเงิน97%ไปโดยไม่รู้ตัว
3%ที่เหลือเหมือนจะเยอะนะ
แต่3%นั้นไม่ใช่ของเค้า
แต่เป็น3%ที่ต้องแย่งกันกับทั้งตลาด
ที่ต้องแข่งราคา แข่งความน่าเชื่อถือ
และเมื่อมองไปที่ลูกค้า97%
ก็พบว่าไม่มีทางเลยที่ลูกค้า97%
ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลอยู่
จะมาซื้อกับเค้า
เพราะเพจเค้า
ไม่มีข้อมูลอะไร
ที่ให้คน97%ได้ศึกษาเพิ่มได้เลย
มีแต่Postขายกับ
รีวิว
คน97%เมื่อมาเห็นเพจเค้า
ก็คัดเพจของเค้าทิ้งไป
ตั้งแต่แรกๆอยู่แล้ว
===============สุดท้ายจบลงที่80-15-5(+ความย้อนแย้ง)
พอเค้าเข้าใจสิ่งนี้
ได้เห็นเคสเพื่อนๆในOTO2019-2020
เค้าก็เริ่มทำสิ่งนี้
ตัวเลขมหัศจรรย์
“80-15-5”
ก็เริ่มใส่เข้าไปในธุรกิจของเค้า
80%>ทำคอนเทนต์ที่ลูกค้า(ต้องการ)กำลังหาข้อมูลนี้อยู่
15%>ทำสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเชื่อถือ ไว้ใจ
5%>ขาย
ซึ่งมันดูย้อนแย้งมาก
อยากขายดี
แต่ให้ขายแค่5%
(มันไม่น่าเชื่อ)
แต่นั่นแหละครับ
มันดูที่ผลลัพธ์
หลังจากเริ่มปรับ
เค้าก็เริ่มได้ลูกค้า97%
ที่สัดส่วนสูงขึ้นมาก
และเป็นลูกค้าดีๆที่ไว้ใจเค้า
ที่ไม่ได้มาต่อรองราคาเค้า
หลั่งไหลเข้ามา
และกลายเป็นจุดเปลี่ยนในธุรกิจเค้า
หลายคนโตสวนกระแส
แม้เป็นช่วงวิกฤติ
=============ไม่ต้องเต็มสูตร
แค่เพิ่ม%เข้ามานิดเดียว
พี่น้องOTO2019หลายคน
ก็ได้ทำเต็มสูตร80-15-5 ซะทีเดียว
แค่ปรับจากเดิมที่ทำแบบ.....
0-0-100
Postขาย100%ใน เพจ
หรือ
0-20-80
0%>คอนเทนต์ที่ลูกค้ากำลังหาข้อมูล
20>สิ่งที่ทำให้ลูกค้าเชื่อถือ ไว้ใจ
80>ขาย
พอเค้าเพิ่ม%ตัวหน้า
คือ>>ทำคอนเทนต์ที่ลูกค้ากำลังหาข้อมูล
เข้ามานิดเดียว
ไม่ต้องเต็มสูตร80-15-5
แค่มีสัก10%
ผลลัพธ์ก็แตกต่างแล้ว
==============
หลายคนปรับ%Contentเข้ามาแค่5-10%
ธุรกิจก็กีขึ้นเป็นเท่าตัว
และหลายคนที่ทำOTO 80-15-5เต็มสูบ
วันนี้กลายแถวหน้าในวงการที่เค้าอยู่
กลายเป็นตัวเลือกแรกในใจลูกค้า
หลายคนเอาไปโตในsocialอื่นๆ
จนกลายเป็นคนดังและธุรกิจก็เติบโตด้วย
ลองดูครับ
อาจจะเป็นอะไรที่ดูเหมือนย้อนศร
แต่...
เปลี่ยนชีวิต
ยกระดับธุรกิจด้วยConcept
“80-15-5” นี้มาหลายคนแล้ว
ส่วนเทคนิคการทำคอนเทนท์
นอกจากในOTOแล้ว
ผมยังเคยแชร์ไว้ในคลิปหน้าเพจหลายคลิป
เลย ลองย้อนดูกันนะครับ
ลุยครับ
เพจโตขึ้น
ธุรกิจดีขึ้น
แค่ทำ80-15-5
A10(เอเท็น)
ลุย10X
Online Take Over2021
ทำธุรกิจ 2 คน 在 วรัทภพ รชตนามวงษ์ warattapob.com Facebook 的精選貼文
💥 #ถ้าวันนี้คุณมีเงินล้านจะทำยังไงให้เงินเพิ่มขึ้น 💥
💢หลาย ๆ คน มักจะพูดเสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง
แต่อยากจะบอกว่า ถ้าไม่ลงทุนเลย จะเสี่ยงยิ่งกว่า💢
💵การมี “เงินเก็บออม” ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก ๆ และเป็นผลดีทั้งกับผู้ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือผู้ประกอบการธุรกิจ เพราะเป็นการบ่งบอกถึงการที่คุณนั้น มีวินัยที่จะพาตัวเองไปสู่ความมั่งคั่ง และมีอิสระทางการเงินของชีวิต โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น และไม่ต้องเป็นภาระใคร
⭐อย่างไรก็ตาม หลายคนที่เก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่งก็มีความคิดที่จะต่อยอดไปอีกว่าจะนำเงินส่วนนี้ ไปต่อยอดทำอะไรดีให้งอกเงยขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ นำเงินไปหมุนเงิน⭐
♻แต่ก่อนจะทำอะไร ก่อนอื่นเลยควรแยกเก็บเงินไว้จำนวนหนึ่งไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน เผื่อหากต้องตกงาน ไม่มีรายได้เข้ามา หรือการเงินมีปัญหา จะได้มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายอย่างไม่ขัดสน ♻
✅เก็บเงินฉุกเฉิน
สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ การเก็บเงินฉุกเฉินไว้ใช้จ่ายช่วงวิกฤต เช่น ตกงาน เจ็บป่วย อุบัติเหตุ รถเสีย ไฟไหม้บ้าน ฯลฯ ซึ่งเงินฉุกเฉินจะช่วยต่อลมหายใจให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตออกมาได้
อย่างเช่น วันดีคืนดีธุรกิจการงานมีปัญหา ขาดรายได้ ในขณะที่มีรายจ่ายเกิดขึ้นทุกวัน ทั้งค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ฯลฯ รวมถึงหนี้สินที่ต้องจ่ายทุกเดือนเมื่อเงินไม่เข้ากระเป๋า มันมีแต่จ่ายออกทุกวัน ๆ แล้วถ้าไม่มีเงินออมเก็บไว้เลย นอกจากจะเครียดงานแล้ว ยังจะเหนื่อยใจซ้ำซ้อนเพราะไม่มีเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอีกด้วย
✅ทำธุรกิจ
การลงทุนทำธุรกิจก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจ แต่ผู้ที่จะเข้ามาจะต้องศึกษาทำการบ้านมาเป็นอย่างดีเสียก่อน รู้ทันการตลาดตอนนี้เป็นอย่างไร สินค้าแบบไหนที่ตอบโจทย์ลูกค้าในตอนนี้ หากมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้ารีบร้อน คิดแล้วทำเลย อาจจะเจ๊งน้ำตาตกแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้ สินค้าที่กำลังมาแรงตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของสุขภาพ อาหารเสริม อุปกรณ์ออกกำลังกาย เป็นต้น
✅หุ้น
การลงทุน “หุ้น” คือการนำเงินเข้าไปซื้อหุ้นในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เรามองว่าจะสามารถเติบโตให้ผลกำไรในอนาคต แม้ว่าการลงทุน “หุ้น” อาจไม่จำเป็นต้องลงมือลงแรงมากแต่อย่างใด แต่ก่อนตัดสินใจซื้อก็ควรศึกษา ทำความเข้าใจ “หุ้น” ที่เราจะซื้อมาให้ดีเสียก่อน อย่าลงทุนในเรื่องที่ไม่รู้ เพราะไม่เช่นนั้นพอร์ทการลงทุนของคุณอาจจะติดลงเป็นสีแดงหมดไปก็ได้ ฉะนั้น ถ้าหากจะเล่นหุ้นจริง ๆ ต้องจัดการเวลาหมั่นศึกษาหาความรู้ด้วย
✅กองทุนรวม
จากข้อข้างบนหากยังไม่มีความมั่นใจ “กองทุนรวม” ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับมือใหม่ที่อยากจะลงทุน เพราะจะมีผู้จัดการกองทุนมาคอยดูแลให้ โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลามานั่งเช็ค อีกทั้งยังมีข้อดีตรงที่ใช้เงินลงทุนไม่ต้องเยอะเหมือนซื้อหุ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนการซื้อกองทุนรวมคุณจะต้องประเมินความเสี่ยงก่อนว่ารับได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นค่อยมาเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะกองทุนที่จะเลือกให้ลงทุนมีมากมาย หลากหลายอุตสาหกรรม เช่น กองทุนหุ้น จะมีความผันผวนมาก มีการขึ้น-ลงตลอดเวลา ซึ่งอยู่ที่ว่าคุณจะรับความเสี่ยงนี้ได้หรือไม่
✅สลากออมทรัพย์
การลงทุน "สลากออมทรัพย์" คือ การออมเงินรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้ฝากเงินจะได้รับทั้งดอกเบี้ยและยังได้รับสิทธิ์ในการลุ้นเงินรางวัลอีกด้วย ซึ่งสลากออมทรัพย์จะถูกนิยมนำมาใช้ในการออมเงินตั้งแต่ระยะกลางจนถึงยาว แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ควรศึกษาข้อมูลของแต่ละธนาคารให้ดีเสียก่อนด้วย
⚡การนำเงินที่เก็บสะสมไปสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการออมปัจจุบัน ให้ได้รับผลตอบแทนจากการใช้จ่ายนั้นในอนาคต และการลงทุนเป็นการออมเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น โดยที่จะต้องยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการตัดสินใจลงทุน จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จากการลงทุน⚡
และถ้าหากคุณอยากทราบ “รายละเอียดในการลงทุนที่เสี่ยงน้อย” โดยใช้กลยุทธ์ WAR-KETING™ ลิขสิทธิ์เฉพาะของผมเพิ่มเติม
✅คุณสามารถกดเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ฟรี ❗ ได้ง่าย ๆ
โดยคลิกลิงก์นี้ 👉 https://www.war-keting.com/lazada-shopee-reg
หรือแอดไลน์มาที่👉 @war-keting
หรือคลิกลิงก์นี้เพื่อถามข้อมูลเพิ่มเติมได้นะครับ 👉 https://line.me/ti/p/~@war-keting
==============
วรัทภพ รชตนามวงษ์ warattapob.com
#หาเงิน #หุ้น #หาเงินด้วยตัวเอง #ลงทุน #ออมทรัพย์ #สลากออมทรัพย์ #กองทุนรวม #การตลาด #การตลาดออนไลน์ #ธุรกิจ #ธุรกิจออนไลน์ #การเงิน #คุยกับวรัทภพ #tiktalk #พัฒนาตนเอง #อยากรวย #แรงบันดาลใจ #ความสำเร็จ #ประสบความสำเร็จ #รวย #กำลังใจ #ความรู้ #วรัทภพ #warattapob
ทำธุรกิจ 2 คน 在 หากคุณทำหลายธุรกิจอยากเปิดบริษัทต้องรู้สิ่งนี้ - Facebook 的美食出口停車場
สรุปว่า ถ้าผู้ประกอบกิจการ 1 คน สามารถมีทะเบียนพาณิชย์ ได้หลายใบ หรือจดเป็นหลายนิติบุคคลในหลายๆ กิจการที่ทำได้เลย ... ... <看更多>