เคล็ดลับ ดวงดาว(ตัวเลข)จากลัคนาราศี จากดวงชะตาคุณลัคนาราศีเมษ ตอน ๒
คุณที่เข้ามาฟังบอกว่า นี่ไม่ใช่ดวงฉัน อ่านก่อนครับ จะได้รู้แนวทางว่า อ๋อ ... มันดูแบบนี้ มันเป็นความเข้าใจในเชิงลึก ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แบบนี้ ที่ใคร ๆ จะทำกันได้ มันต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อน จะได้รู้เป็นแนวทาง อาจารย์มีเวลาก็จะมาบอกเรื่องราวของราศีในทุก ๆ ราศี
ต่อมา เรือนอริ เรือนนี้ต้องระวัง แต่ก็ไม่ใช่น่ากลัวเสียเลยทีเดียว อริในทางโหราศาสตร์ แปลว่า อุปสรรค โรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเป็นหลักทางพระพุทธศาสนาก็คือ กรรมฝ่ายอกุศลที่เราได้กระทำมาแต่อดีตชาติถึงปัจจุบัน ที่เราเคยกระทำผิด แล้วมีกรรมวิบากคือมีผล อาจจะแปลว่าโรคภัยไข้เจ็บ โรคเรื้อรัง อาจจะแปลว่าศัตรู อาจจะแปลว่าคู่แข่งขัน ได้หลายอย่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องผูกดวงก่อน อริอาจจะไปอยู่ในเรือนลาภะก็ได้ อริอาจจะอยู่กฎุทภะ อยู่ได้ทุกที่แหละ ใน 12 เรือน แต่ต้องผูกดวงว่าดวงใครดวงมัน แต่ผูกดวงแล้วก็ต้องรู้ก่อนว่า ดาวเจ้าเรือนอริคือ เลข ๔ ดาวพุธ เป็นดาวเจ้าการ เห็นไหมว่า เลข ๔ เป็นทั้งสหัชชะและเป็นทั้งอริ ซึ่งแปลว่าต้องผูกดวงจึงจะแยกออกว่าเป็นอะไรจริง ๆ เลข ๔ จึงจะเป็นเลขมงคล หรือเป็นเลขอัปมงคลสำหรับคุณ แต่ให้รู้ไว้ก่อนว่ามันมีรากมา ไม่ใช่อยู่ ๆ มันจะมาเป็นดาวคู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพลตามวันเกิด ไม่ใช่ครับ
ภพปัตนิ นี่แหละครับ หลายคนต้องการ คู่ครอง คนรัก มิตรรัก สุดหัวใจ คนเห็นกันไปเห็นกันมา เกื้อกูลอุดหนุน ส่งเสริม การเสี่ยงลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การเล่นหุ้น จะเป็นยังไง ดาวเจ้าเรือนภพปัตนิจริง ๆ ของคน ๆ นั้นที่ผูกดวง ต้องดี คนเกิดลัคนาราศีเมษ (ตามภาพ) เลขที่เป็นตัวแทนของคู่ครองคนรัก และเลขการเล่นหุ้น การมีหุ้นส่วน การเสี่ยงโชคในตลาดหลักทรัพย์คือเลข ๖ ดาวศุกร์ เป็นเลขเจ้าการ หรือเป็นเลขกำลังของคุณ
ต่อมาภพมรณะ มรณะมีทั้งดีและร้าย แปลว่า ความตาย แปลว่าจุดอับ แปลว่าต่างประเทศก็ได้ ถ้าผูกดวงมาแล้ว ดาวเจ้าเรือนภพมรณะ คือคนเกิดลัคนาราศีเมษ (ดูตามภาพ) คือเลข ๓ ดาวอังคาร อาจจะไปอยู่ในเรือนกัมมะก็ได้ กัมมะ มรณะ แปลว่า คุณเคยตั้งเป้าไว้ว่างานของคุณอยากจะทำแบบนี้ แต่คุณไม่ได้ทำ งานของคุณอาจจะทำเกี่ยวกับขายโลงศพ ขายดอกไม้ หรือว่ามาลัยงานศพ คุณอาจจะทำเรื่องยารักษาโรค ความตายใช่ไหม คุณอาจจะทำเรื่องเกี่ยวกับต่างประเทศ เพราะมรณะคือต่างประเทศ ได้หมด เห็นไหม โหราศาสตร์มีหลายมุม จะรู้ได้เมื่อผูกดวง แล้วจึงจะตีความ
ถามว่า คุณไม่มีความรู้ในทางโหราศาสตร์ อาจารย์จะมาสอนไง อาจารย์จะทำเป็นคลิป เป็น EP. ที่ได้คุยกับทางค่ายใหญ่ไว้ว่า เราจะทำเป็นคลิป เยอะแยะมากมาย เพื่อเป็นการสอนสั้น ๆ คลิปละ 4-5 นาที ให้คนทุกคนเข้าใจหมดเลย แต่คุณต้องไปผูกดวงมาก่อน ผูกดวงก็ไปใช้บริการของค่ายที่ว่า(รอเปิดตัวเดือนมิถุนายน)เขาให้บริการเพื่อเป็นตอบแทนอุปการคุณ ให้คุณไม่ต้องไปซื้อเบอร์แพง หรือไม่ไปซื้อเบอร์ผิดที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชา ตามหลักการ เพื่อให้มีความสบายใจ ไม่ให้กลไกของราคาในการหาประโยชน์มาทำลายหลักวิชาทางโหราศาสตร์ ในเรื่องของเบอร์โทรศัพท์ ต่อไปจะเป็นความเกลียดชัง
ต่อมา ศุภะ ภพศุภะคือเป้าหมาย จุดสำเร็จ จุดเคล็ดลับดวงชะตา ติดตามในลำดับต่อไปครับ
จุดนี้ที่ทุก ๆ คนที่สนใจ และศรัทธาในโหราศาสตร์ต้องรู้ และเรียกว่าอยากรู้ และหมอดูทั้งหลายที่ศึกษาโหราศาสตร์ ตำราทั้งหลายไม่เคยมีใครเขียนไว้ แต่มีครูโหรท่านหนึ่ง ท่านเป็นโหร 4 แผ่นดิน แล้วลงทุนขายที่ ที่ซอยระนอง 2 กรุงเทพ ไปเรียนวิชาโหราศาสตร์สากล ที่โรงเรียนฮัมบูร์ก ประเทศอังกฤษ รุ่นเดียวกับ ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ท่านคือ อาจารย์จรัล พิกุล แล้วผมใกล้ชิด คุ้นเคยกับท่าน ไปมาหาสู่ พาท่านไปทานอาหาร คือไปมาหาสู่เป็นประจำ ทุกสัปดาห์ต้องไปเจอท่าน บ้านท่านอยู่ซอยไทยวิจิตรศิลป์ ท่านชอบรับประทานอาหาร และดื่มเบียร์ที่ร้านสีฟ้า นี่พูดถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2530 กว่า ๆ เกือบ 30 ปีแล้วนะ
ท่านบอกกับผมว่า คุณลักษณ์ ผมศึกษาศาสตร์ทุกศาสตร์ รวมถึงศาสตร์ของฝรั่ง มันมีจุดหนึ่งที่โหราศาสตร์ไทยไม่ได้พูดถึง และอาจจะรู้แต่ไม่ได้เคยสรุปความไว้ คือจุดของความสำเร็จในดวงชะตา คือจุดเปิดดวงชะตา อาจารย์ท่านนี้แหละเป็นคนที่ให้เคล็ดลับการขอเงินจากพระจันทร์ ท่านก็บอกผมว่า คุณลักษณ์ ต่อไปต้องพัฒนาและบอกเคล็ดลับนี้แก่ศิษย์นะ คือเรือนศุภะ ในทางโหราศาสตร์ไทย ในทางโหราศาสตร์สากลก็จะมีจุดเจ้าจอมฟ้าของท่าน เป็นจุดกำลัง จุดกำลังที่จะเปลี่ยนแปลงว่า ถ้าเราไม่รู้ มันก็สะเปะสะปะไปทั่ว ไม่รู้ว่าเคล็ดลับของชีวิตคืออะไร หลักของชีวิตคืออะไร ถ้าใครรู้เรื่องนี้แล้วขยายความ แล้วให้เข้าใจ จะเหมือนกับเป็นการจุดรหัสใจ ตื่นรู้ในโลกียะ คือไม่ใช่เพื่อการหลุดพ้น เพื่อการหลุดพ้นก็ได้ แต่อาจารย์พูดถึงฆราวาส คือบุคคล ปุถุชน เพื่อการดำเนินชีวิต
อาจารย์ลัคนาอยู่ราศีตุลย์ คือราศีมิถุน ธาตุผม และมี “ดาวเกตุ (๙)” อยู่ในนั้น นี่ไงคือเหตุที่อาจารย์นำคนไปไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันก็เหมือนขลัง ก็เหมือนเกิดปาฏิหาริย์ เพราะจุดสำเร็จของอาจารย์คือตรงนี้ ที่สำคัญคืออาจารย์มีจุดเจ้าเรือนภพศุภะคือ “ดาวพุธ (๔)” หมายถึงตำรา หนังสือ เอกสาร คือการเรียนรู้ การอ่านการดูการฟัง อาจารย์ทำอย่างนี้มาตลอด ถ้าใครมาเห็นห้องสมุดของอาจารย์ จะเห็นเลยว่า มีหนังสือเป็นล้านเล่ม คือหลายแสนเล่มเอาง่าย ๆ คือบ้าเลยนะ เห็นผู้หญิงสวย หรือพาสาวสวยไปดูหนัง เมื่อก่อนนะ เจอร้านหนังสือ ไปหลังในร้านหนังสือเป็นชั่วโมง จนผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า ถ้าเกิดฉันเป็นหนังสือที่คุณอ่านและสนใจ คุณสนใจฉันได้ครึ่งหนึ่งของที่คุณเห็นร้านหนังสือหรืออ่านหนังสือ ฉันจะมีความสุขมากเลย เรารู้ว่าจุดหลักของเราอยู่ที่หนังสือ ไปไหนก็ถือหนังสือ ลองไปถามดู คนที่เคยรู้จักอาจารย์ ตั้งแต่สมัยเรียนว่าอาจารย์ชอบหอบหนังสือ ไม่ใช่ถือกระเป๋านะ มือหอบหนังสือด้วย ไปมหาวิทยาลัยก็หอบหนังสือ จนคนให้ฉายาว่าบ้าหอบฟาง ไปสอบถามเรื่องนี้ได้เลยว่าจริงไหม ? มันรู้ไงว่าสิ่งนี้เป็นจุดเปิดชะตา แล้วสุดท้ายก็ได้เงินจากหนังสือ เขียนหนังสือที่ได้มากที่สุด เกิน 20 ล้าน เอาง่าย ๆ ต่อ 1 เล่ม นี่แหละคือจุดเปิดชะตา
อย่างคุณที่เกิดลัคนาราศีเมษ จุดเปิดชะตา ภพศุภะ คือราศีธนู เรือนศภะ (ในภาพเขียนว่าศุภะ) แล้วมีเลข ๕ ดาวพฤหัสบดี เป็นกำลังดาวเจ้าการ ก็จะมีความหมาย เรื่องความหมายค่อยว่ากันอีกที แต่ประเด็นสำคัญคือ ถ้าคุณจะใช้เบอร์โทรศัพท์ เลข ๕ เป็นเลขที่ดีสำหรับคุณแล้วในพื้นฐาน แต่ต้องไปผูกดวงดูก่อนว่าเลข ๕ อยู่ตรงไหน แล้วต้อง Action ต่อยังไง นี่สำคัญนะครับ ซึ่งผมกำลังจะพัฒนาเรื่องจุดเปิดดวงชะตา แล้วให้เคล็ดลับตรงนี้ เป็นเรื่องครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ โดยทำระบบเพิ่ม ให้ข้อมูลกับค่ายใหญ่ที่จะทำ ให้ข้อมูลตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่คุณที่ผูกดวงแล้ว จะรู้แล้วให้ความหมายไว้ด้วย
เป็นไงครับ ใครกดดวงชะตา คำนวณกับค่ายนี้ ซึ่งไม่เสียเงินนะ ... ฟรี มีทั้งที่ช้อป และมีทั้งระบบในเว็บไซด์ เมื่อทำเสร็จแล้วจะแชร์มาให้ คุณจะรู้ความหมาย
อีก 3 เรือนภพที่เหลือ คือ กัมมะ, ลาภะ และวินาศนะ ดูไปตามภาพเลยครับ เมื่อลัคนาอยู่ราศีเมษ มันส่งผลให้ราศีต่าง ๆ กลายเป็นเรือนของคุณ ซึ่งบ่งบอกถึงเรื่องราวรอบด้านของชีวิต ในความเป็นโลกียะ ในปุถุชน ในคน หรือจะเป็นการไปสู่วิเวกธรรม โลกุตระ ก็จะมีแนวทางในทางโลกุตระที่อธิบายได้ด้วยดวงเช่นเดียวกัน
ดวง คือ ดาวชี้กรรม ดวงเดิมตามการผูกดวง กรรมเก่า ดาวที่จรไปทุกวัน ๆ แล้วคำนวณไปล่วงหน้าได้ คือกรรมใหม่ คุณเลือกสิ จะดีหรือร้าย เลือกไม่ได้ก็กำหนดเลยสิ ทุ่มสุดชีวิตสิ แน่นอน ใครมีกรรมเก่าบางอย่างเป็นวิบากขัดขวาง อุปสรรค บุคคลผู้มีปัญญาจะต้องต่อสู้ ต่อสู้กับอุปสรรคอันเป็นหนทางในทางกุศล และละจากหนทางอันเป็นอกุศลในกรรมวิบากที่จะตามมาต่อ ๆ ไป
เรือนกัมมะ แปลว่างาน คน ๆ หนึ่งจะมีงานอะไร ดาวที่เสริมเรื่องการงาน ดาวกำลังเรื่องการงาน คนเกิดราศีเมษคือเลข ๗ ดาวเสาร์ เป็นดาวกำลัง เป็นดาวเจ้าการ ในรายละเอียดของการทายดวง เราไม่พูดถึง เราพูดถึงดาวที่เราจะมาใช้เป็นตัวเลข เลข ๗ จึงมีความหมายสำคัญ ส่วนมากน้อยแค่ไหน หรือดีร้าย ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อผูกดวงแล้ว เลข ๗ จะไปอยู่อริ มรณะ วินาศ ซึ่งต้องพิจารณาต่อว่าดีหรือร้าย ส่วนมากไปในทางที่เราต้องหลีกเลี่ยง ละเว้น หรือดาวกัมมะคือเลข ๗ ไปอยู่เรือนศุภะ ยิ่งดี ถ้าดาวเสาร์ ไปอยู่ในราศีพฤษภ เรือนกดุมฎะ โอ้ ... ดีเลย เห็นไหมว่าตัวเลขจากดวงดาวสำคัญอย่างนี้ ไม่ใช่แค่มาโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า นักโหราศาสตร์ เลขมงคลจากดวงดาวตามวันเกิด เลขคู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล เลขเบิ้ล เลขตอง เลขเรียงเท่านั้น มันไม่ใช่ มันชั้นต่ำเลย อันนี้สูงสุด
ต่อมา ลาภะ นี่แหละ คุณที่เสี่ยงโชคแล้วไม่เกิดโชค เพราะคุณผูกดวงวางลัคนาแล้ว ดาวเจ้าเรือนลาภะ ซึ่งเกษตรเรือนใน หรือที่เรียกว่าดาวเกษตร เป็นดาวมาตรฐาน ไปเป็นอริ มรณะ วินาศ ก็ไม่ค่อยถูก ถ้าเกิดดาวเจ้าลาภะเด่น แน่นอนจะมีโอกาสมีโชค ถูกหวยรวยเบอร์ มีโชคลาภตลอดชีวิต หรือบางทีมีกิน มีบริโภคตลอดชีวิต หมายถึงว่าไม่เสี่ยงก็มีกินมีใช้ เงินมาหามาได้ง่าย ๆ หรือว่ามีคนอุปถัมภ์ค้ำชู นี่แหละเลขสำคัญของคนเกิดราศีเมษ ซึ่งเป็นดาวเจ้าเรือนลาภะ คือเลข ๘ ดาวราหู แต่ก็ต้องมาผูกดวงด้วยว่า “ดาวราหู (๘)” ไปอยู่ตรงไหนในพื้นชะตาเดิมของคุณ ตามดวงจริงของคุณที่เป็นดวงใครดวงมัน เข้าใจไหมครับ แต่ให้รู้เบื้องต้นไว้ก่อนว่า เลขนี้เป็นเลขความหมายอะไร อยู่ที่อะไร เราจะดึงมาใช้หรือไม่ดึงมาใช้ เมื่อโปรแกรมประมวลดาวในทางค่ายหนึ่งที่ผมร่วม เขาจะประมวลแยกมาเลย
ต่อมา เรือนวินาศนะ วินาศนะ ตีความหมายได้ทั้งดีและร้าย ร้าย แปลว่า พบกับความวิบัติ ดีก็แปลว่าอุดหนุน ส่งเสริม อาจารย์ ... แล้วจะดีหรือร้าย ? ต้องผูกดวงไง จึงจะรู้ มีเคล็ดลับในการดูอยู่ แต่ก็เป็นอีกดาวหนึ่งที่ควรหลบหลีกเลี่ยง แต่อย่างไรก็ตามที สรุปอย่างนั้นไม่ได้ เห็นไหม เจ้าเรือนศุภะกับเจ้าเรือนวินาศของคนเกิดลัคนาราศีเมษ เป็นดาวดวงเดียวกันคือเลข ๕ ดาวพฤหัสบดี ดูตามภาพที่ผมพูด แล้วจะเห็นได้ว่า ต้องผูกดวงแล้วถึงจะรู้ แต่ให้รู้ก่อนว่ามันมีรากมาจากตรงนี้ คำว่า “เกษตร” คือรากจากพื้นลัคนา
ก็เห็นแล้วว่า มันมีความเป็นไปในเชิงลึก ที่คงจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน ที่ผมกำลังจะพัฒนามาตั้งแต่การผูกดวงวางลัคนา การตีความ และการเอาใช้มาในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข ซึ่งแปลว่าเป็นที่สุดของศาสตร์ในกาพยากรณ์ ไม่ใช่แค่ง่าย ๆ เข้าว่า หรือที่มันหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน เพราะมันไปใช้อะไรง่าย ๆ แล้วในสิ่งเหล่านั้นยังไม่เคยมีตัวจริงมาบอกไงว่าความเป็นจริงคืออะไร ผมจึงต้องลุกขึ้นมาบอก ถ้าเกิดไม่ลุกมาบอก คนไปหลงใช้ตามนั้น แล้ววันหนึ่งมันไม่ดีจริง ๆ ไม่เป็นไปตามนั้น ... ตาย
เขาอาจจะบอกว่า ที่อาจารย์พูดนั้นไม่จริง ... ก็ผมเป็นนักโหราศาสตร์มาตั้ง 30 ปี และถ้าที่ผมดำเนินมาได้เพราะความเชื่อ ความเชื่อไม่ได้แปลว่าความดัง มันดังจากอะไร แม่นมากกว่าไม่แม่น ไม่แม่นก็ต้องมี แต่ไม่แม่นนั้นส่วนน้อย โดยใช้หลักจากศาสตร์ ศาสตร์ที่ผมใช้คือ “โหราศาสตร์” คือหลักที่เกี่ยวกับการพยากรณ์ชั้นสูงสุดของบรรดานักพยากรณ์ทั้งหมดทั้งมวล
ขอให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจไว้เบื้องต้น ตามนี้ครับ ...
ขอให้ช่วยแชร์และเขียนคอมเมนต์ คำว่า (#มีประโยชน์) ขอบคุณครับ
ลักษณ์ ราชสีห์
「ดวง แปลว่า」的推薦目錄:
- 關於ดวง แปลว่า 在 โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ Facebook 的精選貼文
- 關於ดวง แปลว่า 在 หลิว อาจารียา พรหมพฤกษ์ Facebook 的最佳貼文
- 關於ดวง แปลว่า 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
- 關於ดวง แปลว่า 在 ฉันไปดูดวงมา ภาษาอังกฤษคือ? - Facebook 的評價
- 關於ดวง แปลว่า 在 ฝันเห็นดวงจันทร์แปลว่าจะมีโชค แต่ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ อาจ ... 的評價
- 關於ดวง แปลว่า 在 ดวงลัคกี้ แปลว่า V1.3.0 的評價
ดวง แปลว่า 在 หลิว อาจารียา พรหมพฤกษ์ Facebook 的最佳貼文
วิสาขบูชา Visakha Puja (Vesak Day) วันสำคัญสากลโลก
วันวิสาขบูชา 2561
วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
ประวัติวันวิสาขบูชา Visakha Puja (Vesak Day)
วันวิสาขบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือราวเดือนพฤษภาคม แต่หากตรงกับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน วันวิสาขบูชาจะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน
วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า “วิสาขปุรณมีบูชา” แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (คือเดือน 6) ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ ในวันวิสาขบูชา ดังนี้
1. เป็นวันประสูติ นับเป็นวันที่รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนผืนโลก ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน 6 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ"
2. เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มต้นอัสสัตถพฤกษ์ หรือต้นพระศรีมหาโพธิ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ
3. เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา
“เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวงรู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฏฐิ ไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวงละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึงอ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเราก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี เพื่อประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลองประกาศอมตธรรมในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ”
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
วันวิสาขบูชา 2561 Visakha Puja (Vesak Day)
สร้างบารมี
การจะพรรณนาพุทธคุณด้วยเวลาอันสั้นนั้น เปรียบไปแล้วก็เหมือนปริมาณน้ำที่ลอดรูเข็ม เมื่อเทียบกับน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ต่อสัตว์โลกตั้งแต่สมัยที่สร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านคิดที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และก็สั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และเทวา ให้ได้บรรลุธรรมตาม เมื่อคิดแล้ว ก็ลงมือทำไปด้วย ตั้งใจสร้างบารมี 30 ทัศน์เรื่อยมา ทั้งทรัพย์ อวัยวะและก็ชีวิต นับครั้งไม่ถ้วน ยาวนานถึง 20 อสงไขยแสนมหากัป จนบารมีของท่านเต็มเปี่ยม ได้มาเสวยทิพยสมบัติอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นท้าวสันดุสิต ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อรอเวลาอันควร
เมื่อถึงกาลสมัยอันควรที่จะมาตรัสรู้ เทวดา พรหม อรูปพรหม ทั่วหมื่นโลกธาตุ ตลอดภพสามก็มาประชุมพร้อมกัน และก็อัญเชิญพระองค์ลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ซึ่งท่านก็จะตรวจตราดู ปัญจมหาวิโลกนะ คือ ดูทวีป ประเทศ อายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น ดูตระกูลที่มนุษย์ยกย่องว่าเป็นเลิศในโลก และก็ดูพุทธมารดา ตรวจตราดูแล้วเห็นว่า เป็นการที่เหมาะสมจะได้มาเกิดในชมพูทวีป ในมัชฌิมประเทศ ในยุคที่มนุษย์มีประมาณ 100 ปี เกิดในขัตติยตระกูล และทรงกำหนดเอาพระนางสิริมหามายาเป็นพุทธมารดา จากนั้นจึงรับอาราธนา และก็อธิษฐานจิตลงมาเกิดในโลกมนุษย์
วันประสูติ - วันวิสาขบูชา Visakha Puja (Vesak Day) วันสำคัญสากลของโลก
ย้อนไปก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินี ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ พระจันทร์เสวยฤกษ์วิสาขะ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันนี้ นับเป็นวันที่รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนผืนโลก
พระนางสิริมหามายาผู้เป็นพุทธมารดา เมื่อทรงตั้งครรภ์ ด้วยความที่พระนางทรงรักษาศีลและฝึกสมาธิ(Meditation)มามาก ทำให้ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในครรภ์กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างชัดเจน เหมือนอย่างกับพระโพธิสัตว์นั่งสมาธิอยู่นอกพระครรภ์ ครั้นถึงคราวพระโพธิสัตว์จะประสูติปรากฏว่า พระพุทธมารดาทรงประทับยืน แทนที่จะนอนเหมือนอย่างกับคนอื่นๆ แล้วพระโพธิสัตว์ประสูติโดยเอาพระบาทออกมาก่อน ประดุจพระธรรมกถึกหย่อนขาขวาลงจากธรรมาสน์ ทันทีที่พระบาทเหยียบถึงพื้น ก็สามารถยืนและเดินได้เลยทันที นับเป็นอัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติและยืนได้ถนัดแล้ว ทรงเปล่งอาสภิวาจาที่ทรงยืนยันถึงวัตถุประสงค์ในการเกิดอย่างชัดเจนว่า
“เราเป็นผู้เลิศ ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีแก่เราอีกแล้ว”
ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังประสูตินั้น ได้บังเกิดความสว่างไสวขึ้นในโลกและไกลไปถึงหมื่นโลกธาตุ บุพนิมิต 32 ประการปรากฏขึ้น ในหมื่นจักรวาลได้มีแสงสว่างสุดจะประมาณแผ่ซ่านไป พวกคนตาบอดต่างก็มองเห็นได้ พวกคนหูหนวกก็ได้ยินเสียง พวกคนใบ้ก็พูดได้ พวกคนค่อมก็มีตัวตรงขึ้น คนง่อยเปลี้ยเสียขาก็เดินด้วยเท้าได้ สัตว์ทั้งปวงที่ถูกจองจำก็พ้นจากเครื่องพันธนาการ ไฟในนรกทุกแห่งก็ดับ ในเปรตวิสัยความหิวกระหายก็สงบระงับ เหล่าสัตว์เดียรัจฉานก็ไม่มีความกลัวภัย โรคและไฟกิเลสมีราคะเป็นต้นของสัตว์ทั้งปวงก็สงบระงับ นี่ก็นับเป็นความมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยากในโลกแท้
ครั้นพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น ก็ศึกษาความรู้จากครูที่มีความรู้อันสูงสุดของแผ่นดิน ท่านใช้เวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ก็เรียนจนหมดภูมิความรู้ของครูที่อุตสาหศึกษามาตลอดชีวิต แม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติ แต่ก็ไม่ประมาทในชีวิต ครั้นได้ทอดพระเนตรเทวทูต คือ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และก็เห็นสมณะ ก็คิดได้ว่า ต้องเลือกชีวิตสมณะ เพราะเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด ที่จะมุ่งไปสู่หนทางพ้นทุกข์ ท่านจึงเสด็จออกผนวชเมื่อได้ 29 พรรษา และได้ทรงม้ากันฐกะ ออกผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
วันตรัสรู้ - วันวิสาขบูชา Visakha Puja Vesak Day วันสำคัญสากลของโลก
หลังจากได้บำเพ็ญเพียรมายาวนานถึง 6 ปี ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ในวันนั้น พระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง 100 ครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐาน
“แม้เลือดและเนื้อในกาย จักแห้งเหือดเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม
ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้รู้ ได้เห็นธรรมอันยิ่งแล้ว
จักไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จักนั่งอบรมกาย วาจา ใจ ให้ละเอียดถึงที่สุดให้ได้ ”
พอพญามารรู้เข้า ก็สะดุ้งพรึบกันทั้งภพทีเดียว ได้เข้ามาสิงบังคับท้าวปรนิมมิตสวัตดี ให้เป็นเทวบุตรมาร แล้วก็พากันยกพลพักมารมาข่มขู่ มาอ้างสิทธิ์ว่า ที่ตรงนี้น่ะ เป็นที่ของพญามาร โดยมีเสนามารพร้อมด้วยพรรคพวกของตัวมาร พระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่หวั่นไหว ท่านนั่งทำใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียว ในที่สุดพระองค์ก็สามารถเอาชนะได้ ด้วยอานุภาพแห่งบารมีธรรม ที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว
พระมหาบุรุษทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ 12 โดยอนุโลมและปฏิโลม หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว 12 ครั้ง จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด พระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ ในเวลาอรุณขึ้น
เมื่อพระมหาบุรุษทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว โลกันตนรกกว้าง 500 โยชน์ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างด้วยแสงพระอาทิตย์ 7 ดวง ก็ได้มีแสงสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน มหาสมุทรลึก 84,000 โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน แม่น้ำทั้งหลายหยุดไหล คนบอดแต่กำเนิดก็มองเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดก็กลับได้ยินเสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดก็เดินได้ กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำเป็นต้น ได้ขาดหลุดไป !! พระมหาบุรุษได้รับการบูชาจากเหล่าทวยเทพด้วยสมบัติอันประกอบด้วยสิริหาปริมาณมิได้ ทรงเปล่งอุทานว่า
“เราเมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหา ผู้กระทำเรือน
เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อยการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป
ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว
จิตของเราถึงวิสังขารคือนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว”
เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเปี่ยมล้น อบรมพร่ำสอนชาวโลกให้ได้รู้และเห็นธรรมตามไปด้วย ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์ต้องทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่า เสด็จจาริกไปเผยแผ่พระศาสนาตามดินแดนต่างๆ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทรงแสดงธรรมประดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือจุดประทีปในมืดเพื่อให้คนมองเห็น ทำให้มีสรรพสัตว์ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอริยบุคคลมากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน
วันปรินิพพาน - วันวิสาขบูชา Visakha Puja Vesak Day วันสำคัญสากลของโลก
เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา และวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา วันนี้...เป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน รูปกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อแตกดับลง คงเหลือแต่พระธรรมกาย เสด็จสู่พระนิพพาน ก่อนจะเสด็จดับขันธ์นั้น ยังทรงมีมหากรุณาประทานปัจฉิมโอวาทแก่พุทธบริษัทว่า
"สังขารร่างกายของเราไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยย่อ ซึ่งเป็นต้นแบบอย่างดีให้พวกเราได้ทำตาม พระองค์เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกจากอดีตมาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังนั้น ในวันเพ็ญเดือนหกของทุกปีหรือวันวิสาขบูชา
กิจกรรมชาวพุทธในวันวิสาขบูชา
พุทธบริษัทรวมใจ จุดวิสาขประทีป น้อมถวายเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัทควรจะได้ได้ชักชวนชาวโลกให้มาเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงหนทางการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย หันมาศึกษาหลักธรรมที่ทรงประทานไว้ เป็นดังประทีปธรรมนำทางชีวิตที่ถูกต้องไปสู่สวรรค์นิพพาน เราทั้งหลายจะได้มาร่วมกันนั่งสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นกายแห่งการตรัสรู้ธรรม ทุกท่านควรจะหาโอกาสได้ไปจุดประทีป เดินเวียนประทักษิณรอบพุทธเจดีย์ที่ตนเคารพนับถือเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ให้ภายนอกได้สว่างด้วยแสงเทียน ภายในสว่างด้วยแสงธรรม
“พระอาทิตย์ ส่องแสงในเวลากลางวัน พระจันทร์ย่อมส่องแสงในเวลากลางคืน
กษัตริย์เมื่อทรงเครื่องรบแล้วย่อมรุ่งเรือง พราหมณ์ผู้มีความเพ่งเพียร ย่อมรุ่งเรือง
ส่วนพระพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองด้วยเดชตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืนทั้งหมด”
Cr : http://news.dmc.tv/
ดวง แปลว่า 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย
สิทธิกร ศักดิ์แสง
รองศาสตราจารย์จรัญ โฆษณานันท์ ได้กล่าวถึง การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย คือ กำหนดขึ้นโดยดำริพื้นฐานที่สร้างความสมบูรณ์ให้กับองค์ความรู้ในวิชานิติปรัชญาของไทย แทนที่การเรียนหรือการรับรู้แต่ปรัชญาตะวันตกอย่างเดียว ความรู้ความเข้าใจในปรัชญากฎหมายไทย นับเป็นการอุดช่องว่างและสร้างความสมดุลในการศึกษาที่มิให้ภูมิปัญญาตะวันตกครอบงำ การรับรู้โดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม เราคงไม่ได้หมายความว่า เรากำลังลดคุณค่าของปรัชญากฎหมายตะวันตกพอ ๆ กับมิใช่ความหมายในการชักนำ “กระแสนิยม ความเป็นไทยขึ้นแบบกึ่งงมงายหรืออาจเรียกว่า “อนุรักษ์ความเป็นไทยอย่างสุดขั้ว”
เมื่อเราศึกษาปรัชญาตะวันตกก็เหมือนกับการมองออกไปภายนอกตัวเองหรือศึกษาหรือสิ่งรอบข้างว่าเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างที่ดีหรือไม่ดี ดังนั้นเราก็สมควรที่จะหันย้อนมาดูตัวเองหรือหันมาสนใจกฎหมายไทย เพื่อจะคิดหรือตัดสินใจปัญหาใด ๆ ด้วยความรอบคอบ
เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของตะวันตก คือ โสเกรติส พยายามที่สอนให้คนเรา “จงรู้จักตัวเอง” (Know thyself) แม้นัยความหมายอาจไม่ตรงทีเดียวนักกับสิ่งที่เรากำลังค้นหาในปรัชญากฎหมายไทย แต่เราน่าจะพูดได้เช่นกันว่า “การแสวงหาตัวตน” แห่งปรัชญากฎหมายในสังคมไทย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในทางวิชาการแล้วยังเป็นการเชื่อมโยงไปสู่การค้นหาทำความ “รู้จักตนเอง” ที่เป็นปัจเจกของแต่ละคน
แท้จริงแล้ว แก่นสารของปรัชญากฎหมายไทยมุ่งสู่การเน้นความสัมพันธ์ ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรมหรือความยุติธรรม อย่างสูงสุดอันเป็นอุดมคติทางกฎหมายแต่ดั้งเดิม ซึ่งเวลาเดียวกันผสมผสานภาพเชิงซ้อนของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอุดมคติทางกฎหมายที่เป็นจริงในสังคมไทยแต่ละยุคสมัย รายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมาย ปรัชญากฎหมายกับอำนาจรัฐไทยอันยาวนาน น่าจะนำไปสู่บทวินิจฉัยเชิงอนุมานของผู้ศึกษาแต่ละคนต่อเรื่อง “ธรรมชาติของกฎหมาย” ได้ดีที่สุดในบั้นปลาย จริงอยู่การฉายภาพเชิงซ้อนระหว่างปรัชญากฎหมายไทยเชิงอุดมคติกับสถานการณ์ที่ดูขัดแย้งกับข้างต้น การศึกษาปรัชญากฎหมายจึงค่อนข้างเข็มของ “เรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์หรือการเมืองไทย” เพื่อที่จะต้องการขยายรายละเอียดต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังความเป็นไปของปรัชญากฎหมายไทย บริบททางสังคมด้านต่างๆ ไม่ว่าในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมหรือการเมืองล้วนเป็นแหล่งอิทธิพลต่อชีวิตที่เป็นจริงของปรัชญากฎหมายไทย ความสำคัญในเชิงวิเคราะห์และวิจารณ์แหล่งอิทธิพลเหล่านั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หรืออาจจะมากกว่าการอธิบายหรือพูดพร่ำถึงหลักการเชิงนามธรรมของปรัชญากฎหมายไทยด้วยซ้ำ
การให้รายละเอียดเกี่ยวกับบริบททางสังคมด้านต่าง ๆ เบื้องหลังปรัชญากฎหมายไทย เพื่อนักศึกษาเข้าถึงภาพรวมแห่งความเป็นจริงต่าง ๆได้สมบูรณ์มากขึ้น แน่นอนในโลกแห่งความเป็นจริง (ของชีวิตและสังคม) ย่อมผสมผสานทั้งสีขาวและสีดำอยู่ในตัว โลกแห่งวิชาการบริสุทธิ์จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นในการอธิบายวิเคราะห์ตีความกระทั่งวิจารณ์ความเป็นจริงส่วนต่างๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ พ้นจากนี้กระบวนการทางวิชาการดังกล่าวหาใช่เป็นภารกิจที่หลุดลอย/แยกขาดออกจากความเป็นไปแห่งตัวผู้กระทำไม่ หากลึกๆ ยังสัมพันธ์กับระดับแห่งความเป็นมนุษย์ในตัวผู้กระทำอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วการศึกษาปรัชญากฎหมายไทยเราต้องจำลองภาพอุดมคติและความเป็นจริงแห่งปรัชญากฎหมายไทยให้เป็นระบบมากที่สุด เรียกอีกประเภทหนึ่งว่า “ความรู้” หากเรายอมรับว่า “โดยธรรมชาติแล้ว ความรู้กับความเป็นจริงท่าใช่เป็นสิ่งเดียวกันที่เดียวและความรู้ทุกชนิดมีระดับความเป็นจริงที่ไม่สมบูรณ์เสมอเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ความจำกัดในธรรมชาติ ความรู้ที่ถ่ายทอดออกมาย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาพึงต้องตระหนักไว้อย่างมั่นคงควบคู่กับการตระหนักถึงความจำกัดบกพร่อง ภูมิปัญหาหรือภูมิจิตที่ดำรงอยู่เป็นวิสัยปกติของผู้บรรยายวิชานี้
ดังนั้นการศึกษาปรัชญากฎหมายไทย ที่ผ่านมาจะมีปัญหาในเรื่องการศึกษา เพราะนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมายังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง การศึกษาในสมัยโบราณนั้นมักจะถูกปิดกั้น โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย ราษฎรจะถูกหวงกั้นไม่ให้รู้กฎหมาย เพราะผู้มีอำนาจเห็นว่าถ้าราษฎรมีความรู้มากจะทำให้ปกครองลำบาก ความคิดทวงกั้นมิให้ราษฎรรู้กฎหมายนี้แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ยังมีอยู่ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีการเผาหนังสือของ นายโหมด อมาตยกุล ซึ่งได้พยายามพิมพ์หนังสือกฎหมายตราสามดวง
ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วจะเห็นว่า สภาพการรับรู้เรื่องกฎหมายของไทยเลือนลางอย่างยิ่ง โดเยเฉพาะ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า “เป็นการขาดการศึกษา อนุญาตให้เรียนได้แต่วิชาที่เป็นประโยชน์ต่อศักดินาโดยมีจุดมุ่งหมาย กดให้คนโง่”
การปิดกั้นเรื่องการศึกษากฎหมายในสมัยโบราณดังกล่าว คงดำเนินมาหลายร้อยปีจนถึงยุคปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื่องมาจากอิทธิพลและบทบาทตะวันตก ในปี พ.ศ. 2416 หมอบรัดเลย์ ชาวอเมริกาได้พิมพ์กฎหมายตรา 3 ดวง ออกเผยแพร่ ซึ่งไทยเองก็ไม่พอใจนักแต่ก็จำต้องปล่อยเลยผ่านไม่กล้าขัดขวาง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เนื่องจาก หมอ บรัดเลย์ เป็นชาวต่างประเทศ หลังจากนั้นการศึกษากฎหมายก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีโรงเรียนหรือสถาบันสอนกฎหมายกันอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2440 รัฐบาลได้จ้าง มิสเตอร์ โรแลง ยัคคะมินส์ ชาวเบลเยี่ยม มารับราชการเป็นที่ปรึกษาทั่วไปได้ถวายความเห็นต่อรัชกาลที่ 5 ในการตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายขึ้น เนื่องจากเห็นว่าการเล่าเรียนกฎหมายขณะนั้นยังอยู่ในวงแคบไม่มีโรงเรียนสอนวิชานี้โดยตรง ทั้งการศาลยุติธรรมยังล้าหลัง สิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างให้มหาอำนาจตะวันตกที่เข้ามาแทรกแซงไทย ขณะนั้นเป็นเหตุในการตั้งศาลกงศุล อันนำมาซึ่งความลำบากใจแก่ฝ่ายไทยอย่างมากในการถูกหลู่อำนาจอธิปไตยทางการศาลหรืออาจเรียกว่า “การสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางศาล” ข้อเสนอของ ยัคคะมินส์ ดังกล่าวได้รับการเห็นพ้องจากองค์พระประมุข คือ รัชกาลที่ 5 จนกระทั้งกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระโอรสสำเร็จการศึกษาจากอ๊อกฟอร์ดและมาเป็นผู้ดำเนินการตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายดังกล่าว
นับจากการก่อตั้งโรงเรียนสอนกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2440 เป็นต้นมา พัฒนาการของการเรียนการสอนกฎหมายเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื้อหาวิชาที่เปิดสอนหรือสอบในช่วงแรกๆ ยังเน้นหนักที่กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความและกฎหมายต่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 ก็มีการแก้ไขหลักสูตรของโรงเรียนสอนกฎหมายเพิ่มเติมวิชา “ธรรมศาสตร์” และ “พงศาวดารกฎหมาย” ขึ้นมา โดยเนื้อหาบางส่วนของกฎหมายธรรมศาสตร์พาดพิงเรื่องนิติปรัชญา ในเวลาเดียวกัน “หัวข้อเล็กเชอร์ธรรมศาสตร์” ของพระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ ก็พิมพ์เผยแพร่ โดยมีคำอธิบายเนื้อด้านนิติปรัชญา (แบบตะวันตก) แทรกประกอบด้วยเช่นกัน
ข้อสังเกต ธรรมศาสตร์นั้นมีคำอธิบายปรัชญาแบบตะวันตกเข้ามาแทรกโดยเฉพาะแนวความคิดของ แบนเธม กับ จอห์น ออสติน ซึ่งเป็นปรัชญากฎหมายปฏิฐานนิยม ทำให้แนวคิดปฏิฐานนิยมมีบทบาทมากในการเรียนการสอนกฎหมายของไทยในขณะนั้น มาผสมผสานกับปรัชญากฎหมายไทยที่มีอยู่ในอดีตคือเรื่อง “ธรรมะ”
อย่างไรก็ตาม วิชานิติปรัชญาหรือปรัชญากฎหมายนั้นห่างไกลความสำคัญอยู่มาก คือ ไม่ค่อยมีใครค่อยให้ความสำคัญนักในขณะนั้น
ความพยายามผลักดันให้เกิดวิชานิติปรัชญาหรือปรัชญากฎหมายนั้น เริ่มต้นจาก ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย ได้พยายามให้มีการเรียนการสอนวิชาดังกล่าว ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 15 ปี กว่าจะบรรลุผลสำเร็จ การสอนวิชานิติปรัชญาโดยตรงปรากฏขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2515 โดย ศ.ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ เป็นผู้ผลักดันคนสำคัญและริเริ่มสอนวิชานิติปรัชญาและต่อมาวิชานิติปรัชญาเริ่มกลายเป็นวิชาที่ได้รับการยอมรับและให้ความสำคัญหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต ที่มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเขียนขึ้นใหม่ตามสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ต่างได้บรรจุวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรทั้งสิ้น
ข้อสังเกต เมื่อย้อนหลังที่ผ่านมาปรัชญากฎหมายไทยโดยเฉพาะ แม้การยอมรับในวิชานิติปรัชญาจะเป็นไปอย่างแพร่หลายดังกล่าว หากทว่าวิชานิติปรัชญาที่ประสบความสำเร็จเช่นว่า มีลักษณะเป็นวิชานิติปรัชญาตะวันตกเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ เพราะเอกสารหรือตำราที่พิมพ์ออกมานั้นจะเป็นนิติปรัชญาตะวันตกเกือบทั้งหมด
ดังนั้นเราจำเป็นต้องศึกษาปรัชญากฎหมายไทย เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในภูมิปัญญาไทยหรือสามารถโยงเปรียบเทียบกับปรัชญากฎหมายตะวันตกสำหรับความเข้าใจซาบซึ้งต่อจุดดีจุดด้อยของภูมิปัญญาแต่ละฝ่าย ถึงที่สุดแล้วคงเป็น “มรรควิถี” สำคัญที่จะนำไปสู่กิจกรรมอื่น ๆ เชิงปฏิบัติการทางด้านกฎหมายที่รอบคอบและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดโลกทรรศน์ของตัวเองเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นธรรม การวินิจฉัยเชิงคุณค่าด้านความยุติธรรมต่าง ๆ ทั้งในระดับเอกชนหรือสังคมหรือแม้การแก้ไขปัญหารากฐานทางความคิดเพื่อจะปฏิรูปกฎหมายต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพ แห่งบริบททางด้านสังคมด้านต่าง ๆ ของไทย ที่เรียกว่า “นิติวิธีทางกฎหมาย” (Juristic Medthod)
การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย จะในยุคต่าง ๆ ศึกษาปรัชญากฎหมายไทย ได้แก่ ยุคสุโขทัย ยุคอยุธยา ยุคธนบุรี ยุครัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะความคิดปรัชญาทางกฎหมายของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์และปรัชญากฎหมายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475และแนวคิดปรัชญากฎหมายตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน(2540)
จากปรัชญาตะวันตกสู่ปรัชญากฎหมายไทย ความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออก
ปรัชญาในความหมายทั่วไปอาจจะหมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักความรู้จริงซึ่งแปลมาจาก คำว่า “Philosophy” แต่คำในภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นต้นกำเนิดปรัชญา แปลว่า “เป็นความรู้อันประเสริฐ” ซึ่งคำว่าปรัชญานี้ถ้าใช้เป็นภาษาบาลีจะตรงกับ คำว่า “ปัญญา” ซึ่งหมายถึง ความรู้แจ้ง ความรอบรู้ความฉลาด ต่อมาประมาณ 8 – 9 ปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จึงได้มีผู้นำเอาคำ “ปรัชญา” นี้มาใช้เป็นศัพท์บรรจุในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หากแปลความหมายเป็นแบบคำภาษาอังกฤษ (Philosophy ) หมายถึง “วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง”
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้มีความคิดเห็นแตกต่างของขีดขั้นการบรรลุถึงความรู้สัจจะ ในแง่นี้จึงมีการอธิบายความหมาย คำว่า ปรัชญาของอินเดีย (สันสกฤต) คือ ความรู้หรือปัญญาที่ถึงที่สุดเด็ดขาดไปแล้ว (ความรู้ภายหลังเมื่อสิ้นความสงสัยแล้ว) ส่วนคำว่า Philosophy นั้นยังไม่เด็ดขาด ยังค้นหาอยู่หรือยังคลำอยู่ ยังไม่มีจุดจบหรือจุดสุดท้าย อันเป็นเรื่องการคิดคำนวณหรือการตั้งสมมุติฐานด้วยเหตุผลที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งน่าจะแปลว่า Philosophy ส่วนความหมายของ “คณิตสัจจะ” หรือสัจจะแห่งการคำนวณมากกว่า อันมีความหมายคล้าย คำว่า “ทรศน” “ทรรศนะ”
ปรัชญาอินเดียมีเป้าหมายที่ชัดเจน กล่าวคือ การหาคำตอบทางศาสนาและศีลธรรม มิใช่การขบคิดปัญหาในเชิงตรรกศาสตร์ เพื่อรู้อย่างปรัชญาตะวันตกที่เป็นความรู้ เป็นไปเพื่อความรู้ แต่ในขณะเดียวกัน ปรัชญาอินเดียก็มิใช่จะไม่มีลักษณะของการคิดหาเหตุผลอย่างปรัชญาตะวันตกมีอยู่ ปรัชญาอินเดียมิใช่เป็นตัวแทนของปรัชญาตะวันออกที่เน้นการแสวงหาคำตอบ ปรัชญาจีน ก็เน้นความสำคัญทางด้านจริยธรรมมากกว่าความสามารถด้านสติปัญญา สนใจปัญหาที่เป็นรูปธรรมมากกว่าปัญหาในเชิงนามธรรม โดยทั่วไปนักปรัชญาจีนตั้งปัญหาข้อคิดว่า “จะทำอย่างไร” มากกว่าที่จะคิดค้นว่า “ทำไมมันจึงเป็น” จุดเน้นด้านจริยธรรมส่วนนี้ของปรัชญาจีนยังดำเนินควบคู่กับวิธีการศึกษาที่เน้นการแสวงหาความรู้ทางจิตวิญญาณ หรือความรู้ที่ได้จากความเข้าใจที่เกิดขึ้นในจิตอย่างฉับพลัน รวมทั้งการภาวนาและวิธีการฝึกฝนอบรมตัวเอง ในขณะที่ปรัชญาตะวันตกมีการแบ่งแยกสาขาออกไปต่าง ๆ อาทิเช่น อภิปรัชญา ตรรกวิทยา ญาณวิทยาหรือสุนทรีศาสตร์ ซึ่งปรัชญาจีนแทบไม่มีการแยกคนออกจากความต้องการทางจริยธรรมและปฏิบัติในชีวิตของบุคคลเลย ประเด็นถกเถียงทั้งหมดของปรัชญาจีนอยู่ที่ว่า จะอบรมฝึกฝนตนให้ดีอย่างไร และจะช่วยสังคมให้เรียบร้อยด้วยวิธีการแบบไหน อันเป็นลักษณะ “มนุษยภาพนิยม” ที่หนักไปทางด้านจริยธรรมบวกกับการเมือง และที่สำคัญอย่างยิ่งในหัวใจของปรัชญาจีนยังเน้นเรื่องความกลมกลืนประสานการสืบเนื่องกับของสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายในโลก ดังที่เห็นในเรื่องปรัชญาเอกภาพของสวรรค์และมนุษย์ของขงจื๊อ ภาวะแห่งดุลยธรรมของสรรพสิ่งทั้งปวงตามคำสอนของ จวงจื๊อ หรือเอกภาพแห่งหยินและหยางในลัทธิเต๋า
สรุป ข้อถกเถียงปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออกนั้นน่าจะเป็นประเด็นให้ได้พบกับคำตอบถึงความมีหรือไม่มีคุณค่าในการถกเถียงอย่างไม่รู้จบเกี่ยวกับ การแยกหรือไม่แยกปรัชญาออกจากเรื่องของเหตุผลบริสุทธิ์ ศาสนาหรือวิทยาศาสตร์และอะไรคือประเด็นหลักที่ควรไตร่ตรองอย่างแท้จริง มากกว่าประเด็นถกเถียงเอาแพ้ชนะกันว่า “ปรัชญาตะวันออกและปรัชญาตะวันตก ฝ่ายใดเป็นปรัชญาที่แท้จริงหรือความเป็นปรัชญามากกว่ากัน”
ข้อสังเกต เบื้องต้นเกี่ยวกับการพิจารณาเปรียบเทียบปรัชญากฎหมายตะวันตกกับกฎหมายไทยซึ่งปรัชญากฎหมายไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญากฎหมายตะวันออก ดังนั้น ปรัชญากฎหมายไทยจึงผูกพันกับคำสอนในทางศาสนาและความเชื่อในทางศาสนาที่ยึดถือกันอยู่ในสังคมไทย
แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของสัมพันธ์ภาพระหว่างปรัชญากับศาสนาที่มีระดับการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัย รวมทั้งปัญหาเรื่องผลกระทบของขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสังคมสมัยใหม่จากการถูกบีบจากประเทศอาณานิคมตะวันตก ทำให้ไทยใช้ปรัชญาประยุกต์ กล่าวคือ ปรัชญากฎหมายหรือนิติปรัชญาเป็นการศึกษาในเรื่องดังต่อไปนี้ คือ
1.การศึกษาถึงภาพรวมของกฎหมายในเชิงปรัชญาโดยเฉพาะ เรื่องธรรมชาติของกฎหมายหรือประเด็นความสัมพันธ์ของกฎหมายกับจริยธรรมหรือความยุติธรรม อันเป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าถึงสิ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญญาณของกฎหมาย ลักษณะสำคัญของปรัชญากฎหมายจึงเป็นการศึกษากฎหมายในความหมายที่กว้างที่สุดอย่างเป็นนามธรรมรวม ๆ ว่ามีธรรมชาติอันแท้จริงอย่างไร มีจุดมุ่งหมายอย่างไร
2.ศึกษาถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับมนุษย์ ปัญหาเรื่องการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย การดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับเรื่องบทบาททางสังคมของกฎหมายในด้านต่าง ๆ
เมื่อพิจารณาถึงปรัชญากฎหมายไทย ภายใต้อิทธิพลประเทศตะวันตะวันตกที่ได้รับปรัชญาตะวันตกเข้ามาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าที่ผ่านมาในอดีตเราไม่อาจปฏิเสธปรัชญากฎหมายไทยทั้งในยุคโบราณจวบจนสมัยปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากสมมุติว่าเรายอมรับว่าคนไทยก็มีปรัชญา คนไทยมีการใช้กฎหมายเป็นประเพณีการปกครองบ้านเมืองมาแต่ยุคโบราณแล้ว เรื่องโลกทรรศนะของคนไทยที่มีต่อธรรมชาติของกฎหมายหรือกฎหมายในความหมายทั่วไปย่อมดำรงอยู่โดยมิพักต้องสงสัย แม่จะไม่ไม่มีการแยกแยะเป็นสำนักคิดต่าง ๆ แข่งขันกันเองแบบตะวันตกก็ตาม
ปรัชญากฎหมายไทยก่อนยุคที่ อิทธิพลความคิดตะวันตกจะเข้ามามีอิทธิพล (นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 )ลงมา) จะวางรากฐานอยู่บนความคิดทั่วไปของปรัชญาตะวันออกที่ผนวกปรัชญากับศาสนาเข้ากันอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะอิทธิพลความคิดในศาสนาพุทธ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมอธิบายภาพรวมของกฎหมายจากฐานอุดมคติทางศาสนาที่เน้นศีลธรรมเรื่องธรรมะ มิใช่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจล้วน ๆ ของฆาราวาส (ผู้ใหญ่บ้านในแผ่นดิน) ความเชื่อมโยงปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมกับศาสนา (นั้นเป็นที่สังเกตว่าละมายคล้ายคลึงกับปรัชญากฎหมายตะวันตก กล่าวคือ ปรัชญาสำนักกฎหมายธรรมชาติ) อิทธิพลความสัมพันธ์พุทธศาสนากับปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม ได้สื่อผ่านทางความคิดหรือคำสอนทางพุทธศาสนาต่างๆ สู่ประชาชนระดับล่างที่ผ่านมาต่างก็แฝงด้วยความคิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจของผู้ปกครองตามไปด้วย คติ เรื่อง ทศพิศราชธรรมหรือธรรมราชา ไตรภูมิพระร่วงหรือวรรณคดีทางศาสนาและการเมืองที่สำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย ซึ่งได้มีการเขียนเรื่องดังกล่าว ความรู้สึกหรือความเชื่อในจิตสำนึกคนไทยโบราณต่อสิ่งคู่กันระหว่างอำนาจและธรรมะ จึงน่าจะดำรงอยู่มาช้านานแล้ว
ข้อสรุปนี้ จึงน่าจะโยงกลับมาหาคำตอบเกี่ยวกับความเข้าใจต่อปรัชญากฎหมายของคนไทยในอดีตได้หากมองเห็นถึงธรรมชาติแห่งการใช้อำนาจที่ปรากฏอยู่เป็นข้อเท็จจริงภายนอกของกฎหมาย ในอีกแง่มุมหนึ่งเมื่อจากอิทธิพลของภาษาที่มีต่อความเข้าใจหรือจิตสำนึกของคน ซึ่งในโบราณคนไทย ใช้คำว่า “ธรรมะ” แทนคำว่า “กฎหมาย” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน พร้อมกับเรียกกฎหมายแม่บทสำคัญว่า “พระธรรมศาสตร์” ดังปรากฏถ้อยคำในศิลาจารึก (หลักที่ 38)
ซึ่งในส่วนปรัชญากฎหมายไทยนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงปรัชญากฎหมายไทย สมัยสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรีถึงสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 สมัยหลังการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 และปรัชญากฎหมายที่มีอิทธิพลในการจัดทำรัฐธรรมนูญไทย
ดวง แปลว่า 在 ฝันเห็นดวงจันทร์แปลว่าจะมีโชค แต่ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ อาจ ... 的美食出口停車場
YouTube : VCOCONUT Page : อาจารย์ณัฐ นรรัตน์ #ความฝัน #ฝันเห็น ดวง จันทร์ #อาจารย์ณัฐ @vcoconut. ... <看更多>
ดวง แปลว่า 在 ดวงลัคกี้ แปลว่า V1.3.0 的美食出口停車場
ดูดวงฟรี ด้วยศาสตร์โบราณของไทย โหราศาสตร์ไทย เลข7ตัว กราฟชีวิต ทํานายฝัน ดูดวงสมพงศ์ เนื้อคู่ ไพ่ยิปซี ดูฤกษ์ ตั้งชื่อ ...u31 ดูดวงครึ่งปีหลัง 2566 ราศีเมถุน ดวงดีในเรื่องของการเงิน ... ... <看更多>
ดวง แปลว่า 在 ฉันไปดูดวงมา ภาษาอังกฤษคือ? - Facebook 的美食出口停車場
ฉันไปดู ดวง มา/ หมอดูดูแม่น ฝรั่งพูด ว่า.. ไม่พูด ว่า … I go horoscope ♀️⁉️ I horoscope❌ สายมู เหมือนแม่ เม้น = มู มาค่ะ #ภาษาอังกฤษ #ดู ดวง #สายมู. ... <看更多>