#เลือกโรงเรียนให้ลูก ยังไงดี??
ปัญหาคาใจ "เลือกโรงเรียนให้ลูก"
written by @Thanabatra Beboyl Chaidarnn
เจ้าของเพจ ตุ๊ดส์review / Pussy can talk
ก่อนอื่นขอบคุณที่ชื่นชมผม และอยากให้ลูกมีความคิดความอ่านเหมือนผมนะครับ (ขอบคุณจริงๆครับ) แต่เอาเข้าจริงๆ ผมคิดว่าปัจจัยที่เด็กจะประสบความสำเร็จในชีวิต การส่งเสริมมาจากหลายทางร่วมด้วย ซึ่งโรงเรียนอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดน่ะคับ
ไม่คิดว่าจะทำ contents นี้เลย เพราะนี่ก็เป็นตุ๊ดที่ไม่มีลูกครับ 555+ แต่ผมสนใจเรื่องนี้ เพราะผมไม่รู้หรอกว่าวิธีคิดของคุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ เค้าเลือกโรงเรียนของคุณลูกจากเกณฑ์อะไรบ้าง?
มีคุณแม่มาปรึกษากับบอยบนเพจ และบอยก็ไม่คิดว่าบอยจะแนะนำได้ดี แต่บอยอยากแนะนำบนประสบการณ์ที่เราเรียนโรงเรียนที่คุณแม่เลือกให้ แล้วเราแฮปปี้ดีงาม และเคยมีประสบการณ์ได้ไปสอนเต้นสมัยมหาวิทยาลัยในโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ถึงกับช็อค เลยมาแชร์วิธีคิดของการเลือกโรงเรียนเป็นวิทยาทานครับ
ก่อนอื่น ผมเล่าก่อนเลยว่า ผมจบโรงเรียนชั้นอนุบาล และประถมศึกษา จากโรงเรียนพระแม่สกลสงเคราะห์ และมัธยมศึกษา จากโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ซึ่ง 2 โรงเรียนนี้ มีจุดร่วมบางอย่างที่น่าสนใจมากๆ ที่เปลี่ยนความคิดความอ่าน และทักษะของผมพอสมควรเลยครับ
ที่บอยแฮปปี้กับโรงเรียน ณ ตอนนั้นนะ เพราะบอยรู้สึกแบบที่กำลังจะเขียนนี้ ตอนที่บอยไปโรงเรียนครับ
1) ใกล้บ้าน เดินทางสะดวก: เราพูดเลยว่าเรามีสุขภาพจิตที่ดีไปเรียนได้ทุกวันแบบแฮปปี้ เรารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เราว่าคุณแม่ของเราคิดถูกมาก!!!! เราตื่นเช้าพอประมาณ นั่งรถตู้แบบหลับไป ตื่นมาสุดสาย ถึงเลยจ้า ที่มันเป็นปัจจัยที่เราแนะนำเรื่องนี้เป็นเกณฑ์ข้อแรก เพราะมีเหตุผล support เยอะ
- เราจะไม่เป็นห่วงการเดินทางของลูกน้อยเลย
- เราจะเดาเวลาการกลับบ้านที่เป็นปกติของเขาได้ง่ายกว่าโรงเรียนที่มีรถติด เดินทางไกล ไม่สะดวก เราจะรู้ว่าวันไหนเขาโอ้เอ้เกินเหตุ ไปซนที่อื่น
- สุขภาพจิตของลูกจะดีมากๆ มีความสุขกับการเดินทางง่ายๆไปโรงเรียน
- ตื่นเช้ากำลังดี สุขภาพโอเค นอนพอ แจ่มใส เรียนรู้เรื่อง เพราะเราไม่ง่วงครับ
2) โรงเรียนไม่ต้องดังเว่อร์ แต่เป็นโรงเรียนที่มี "กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่หลากหลาย": อันนี้ผมขอเท้าความเรื่องทักษะ 'พหุปัญญา' ของเด็กที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด อันเป็น Gift ของเด็ก ทุกคนจะมีของมาตั้งแต่เกิด มาก-น้อยไม่เท่ากันครับ (ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีสแกนลายผิวมือที่วัดเรื่องนี้ได้ ไม่งมงายนะครับ ถ้ารู้ทักษะน้องจากตรงนี้ จะส่งเสริมตรงทางเร็วขึ้นหน่อยครับ) ถ้าโรงเรียนมีกิจกรรมเสริมพวกนี้ นอกชั้นเรียน ผมแนะนำให้เรียนโรงเรียนนั้นเลย ^^
ประโยชน์ของการที่เด็ก ได้ทดลอง 'ชิมชีวิต' ด้วยการทำทักษะที่หลากหลาย น้องจะค้นพบตัวเองว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไรครับ ซึ่งถ้าในโรงเรียนมีไม่พอ อาจจะลองขวนขวายจากภายนอกร่วมด้วยครับ
ผมขอเล่าความบ้าคลั่งของผมสมัยเรียนสั้นๆ คือผมเป็นเด็กสายประกวดครับ ความหมายคือ โรงเรียนเค้าจะมีวิธีการสร้างชื่อเสียงโดยการส่งเด็กไปประกวดโน่นนี่นั่น สมัยนั้นผมเป็นเด็กบ้า ผมขอครูแข่งทุกอย่างเลยอ่ะครับ เพราะผมอยากรู้ว่าตัวเรามีศักยภาพเด่น-ด้อยด้านไหนบ้าง ผมลองมาหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น...เขียนเรียงความ พูดสุนทรพจน์ ร้องเพลง เล่นละครเวที เต้นรำ รำไทย วาดภาพ ตอบปัญหาวิชาการ เล่านิทานภาษาอังกฤษ จินตคณิต มารยาทไทย คัดลายมือ อ่านทำนองเสนาะ ฯลฯ (จะสังเกตว่าไม่มีกีฬา เพราะตอนนั้นอ้วนๆ หนักเป็น 100 โล)
เอาเป็นว่ามีกิจกรรมในโรงเรียน หรือมีชมรมอะไรที่ผมชอบ ผมสนใจ ผมลองเข้าหมด ไม่รู้ว่าฉันทำสิ่งนั้นเก่งหรือไม่เก่ง ได้หรือไม่ได้ แต่ผมลุย แล้วประโยชน์จากการลุยทำกิจกรรมเสริมทักษะ มันทำให้เรามีมิติทางสังคมที่หลากหลาย ทั้งสังคมเพื่อน, สมาธิ, ศักยภาพที่ติดตัว, ส่งเสริมวิธีคิดตามกิจกรรม เช่น พวกการวางแผน, ความคิดสร้างสรรค์, การคิดเชิงกลยุทธ์, ฝึกมุมมองด้านวิสัยทัศน์ ฯลฯ
ถ้าลูกเจอตัวเองไว...เขาจะไปต่อในระดับอุดมศึกษาแบบไม่งง direction จะชัดเจนมากๆ ตอนเลือกคณะ สอบเรียนต่อที่ไหนจะไม่สับสน รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน สายอาชีพอะไรที่เป็นเราครับ แล้วเค้าจะแฮปปี้ ภูมิใจในตนเองด้วยว่า เค้ามีทักษะบางอย่างที่เป็นเลิศ เหมือนเป็นงานอดิเรกติดตัวครับ (อย่างของผมคือ การวาดภาพระบายสี)
3) โรงเรียนที่สมฐานะ: ความหมายคือ โรงเรียนค่าเทอมแพงๆ กับโรงเรียนรัฐบาล
ผมไม่ได้จบโรงเรียนดังๆ แพงๆมา เพราะที่บ้านผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เราเรียนในโรงเรียนที่ไม่ได้ไกลเกินตัว ผมว่า คุณแม่ และคุณพ่อผมเจ๋งมาก ท่านเลือกในสิ่งที่เหมาะกับผม ผมไม่ต้องฟุ้งเฟ้อ อยากได้อยากมีอยากเป็นอะไรตามเพื่อน ผมไม่เหนื่อยที่จะไขว่คว้า Materials ต่างๆ แบบคนรวย มันทำให้ผม "สบายใจ" และ "เป็นตัวของตัวเองสมฐานะ"
ผมพูดแบบนี้ เพราะครั้งหนึ่งที่เคยไปสอนเต้นโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมเจอมากับตัวเลยว่า น้องๆเค้าแข่งกันมีโทรศัพท์รุ่นแพงๆ, แต่งตัวแข่งกัน, ซื้อข้าวของ shopping เก่งๆ, กินอาหารร้านแพงๆ, เรียนพิเศษโรงเรียนกวดวิชาและโรงเรียนเสริมทักษะชื่อดังๆ คือ Lifestyle จัดจ้านพอสมควร แต่น้องไม่ผิดนะครับ เพราะเรียกว่า "สมฐานะ" ของเขา ก็บ้านเขามี เขาทำได้ แต่คุณลองนึกเอาว่า ถ้าคุณกระเสือกกระสนส่งลูกเรียนโรงเรียนที่สังคม Hiso ขนาดนั้น...คุณดูแลลูก และปรนเปรอน้องไหวรึเปล่า? แล้วจะสอนเค้ายังไงดีให้เค้าอยู่ได้ และรับมือในสภาพแวดล้อมที่ทุกคนมีฐานะร่ำรวย และ materialism สุดๆ ซึ่งตัวผมไม่แนะนำนะครับ ผมว่ามันไม่ใช่ธรรมชาติ มันฝืน และลูกเราจะอยู่ในสังคมแบบนั้นอย่างกดดัน และไม่เข้าใจว่าทำไมหนูไม่มีไม่ได้ไม่เป็นแบบเพื่อนๆ มองตัวเองเป็นปมด้อย สร้างปัญหาไปอีก...เลือกโรงเรียนแบบ "พอเพียง" เถอะครับ
4) เพื่อน: เอาตรงๆคือ เพื่อนป่วยๆเพลียๆ = ลูกเราป่วยๆเพลียๆ ไม่พูดเยอะ ประเด็นนี้พากันไปทำพิเรนทร์ หรือนอกลู่นอกทาง เพราะความคึกคะนองในกลุ่มเพื่อนนี่แหละครับ
5) ครูที่เข้าใจ และใส่ใจเด็ก: โรงเรียนที่ครูเข้าใจเด็กมากๆ แล้วปั้นเด็กเป็น ซึ่งผมไม่รู้ว่าเราจะรู้ก่อนได้ยังไงนะ ในการเลือกโรงเรียน แต่ผมรู้แค่ว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งเจอครูที่เจ๋ง ครูที่ใช่ ที่เป็น role model ต้นแบบทางความคิดให้เค้าได้นะ ผมว่า work! และเราไม่เหนื่อยแน่ๆ เพราะอุ่นใจที่ครูเอาอยู่ ในการดูแลลูกของเรา
6) สุดท้ายนะ ผมว่าปัจจัยหลักที่แท้จริงที่ทำให้ลูกเป็นคนคุณภาพของสังคม ไม่ใช่ปัจจัยภายนอกหรอก นั่นมันเป็นองค์ประกอบเสริม องค์ประกอบหลักคือ "ตัวเด็กเอง" (จากการเลี้ยงดูส่งเริมของครอบครัว ขณะที่อยู่บ้าน) เค้ารักดีไหม ขยันไหม ใฝ่หาความรู้ไหม คุณปลูกฝังเค้ามายังไง ถ้าเริ่มต้นเพาะเมล็ดมาดีงามแล้ว และตัวเด็กรักดี และดันมีสติปัญญาดีอีก เป็นเด็กมีพรสวรรค์อีก ผมว่าอันนี้แหละปังของจริง พื้นฐานของความสำเร็จของผม นอกจากโรงเรียนผลักดันสุดๆ ผมว่าคุณพ่อคุณแม่คือป๋าดันตัวจริง เค้าให้เราเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ ที่เราเป็นเรา เข้าใจการเป็นตุ๊ดของเรา และให้เราทำในสิ่งที่เรารัก ให้เราเติบโตมาอย่างอบอุ่น และใส่ใจเราตลอด เห็นเรากลับมาบ้าน เขาสังเกตเราทุกวัน เราทำการบ้านรึยัง เราไปแข่งวาดรูปมาเป็นไงบ้าง มีคำถามที่ใส่ใจเราตลอดการเติบโตของเรา
จุดเด่นของคุณพ่อคุณแม่ผมนะ มี 2 ข้อ คือ
- ไม่เคยกดดันเรา ไม่เคยถามเราว่าทำไมสอบไม่ได้ที่ 1 ทำไมทำได้แค่นี้...เค้าจะพูดแค่ว่าเทอมหน้าเอาใหม่ สู้ๆนะ ให้กำลังใจ และไม่พยายามยัดเยียดให้เราเป็น superman จนมันเก็บกด หรือกดดันจากความเป็นธรรมชาติของเด็ก
- ไม่เคยเปรียบเทียบคุณค่าของเรากับลูกคนอื่น ลูกคนข้างบ้านครับ จะไปอยากให้ลูกเราเหมือนคนข้างบ้านทำไม ลูกเราคือลูกเรา เลี้ยงมาแบบไหนก็โตมาแบบนั้นเลย ดังนั้น ควรสร้างความภูมิใจให้ลูก ด้วยการชื่นชมเค้า ส่งเสริมเค้า เวิร์คกว่า
ถ้าลูกรักดี + พ่อแม่ดูแลส่งเสริมถูกวิธี...ยังไงก็ปังครับ
ผมเขียนมุมผมนะ ว่าผมผ่านอะไรมาอย่างไรบ้าง ตามประสาคนไม่มีบุตร 555+
ใครมีมุมไหน มาแชร์กันนะ ผมอยากอ่านความคิดเห็นสร้างสรรค์ต่างๆ นำมาขบคิดต่อไปครับ
#งานเลือกโรงเรียนบุตรก็มา
งานเลือกโรงเรียนบุตรก็มา 在 ตุ๊ดส์review - ปัญหาคาใจ "เลือกโรงเรียนให้ลูก" written by ... 的美食出口停車場
ใครมีมุมไหน มาแชร์กันนะ ผมอยากอ่านความคิดเห็นสร้างสรรค์ต่างๆ นำมาขบคิดต่อไปครับ #งานเลือกโรงเรียนบุตรก็มา. การอัพโหลดผ่านมือถือ ... ... <看更多>
งานเลือกโรงเรียนบุตรก็มา 在 ควรเลือกโรงเรียนที่ใช่ให้ลูกอย่างไร เมื่อไหร่ดี? - YouTube 的美食出口停車場
โดย อ. อลิสา รัญเสวะ (อ. เกลล์) นักจิตวิทยาคลินิก #พัฒนาการเด็ก #จิตวิทยาเด็ก #จิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น #จิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นโดยนักจิตวิทยา ... ... <看更多>