เมื่อไม่กี่วันมานี้ ข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการขายของออนไลน์ คงหนีไม่พ้นประกาศจากทาง Facebook ว่าด้วยเรื่องของการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ Vat 7% จากการยิงแอด โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เป็นต้นไป
.
แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้น คือ คนที่ทำธุรกิจออนไลน์โดยมียอดขายมาจากการยิงแอด จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นทันที เพราะก่อนหน้านี้แค่ค่าแอดแพงก็แทบจะไม่เหลือกำไรแล้ว แล้วยิ่งมีการเก็บ Vat 7% เพิ่มอีกก็ยิ่งเหมือนเดิมซ้ำเดิมเข้าไปใหญ่
.
อย่างไรก็ตาม เหรียญยังมีสองด้านฉันใด ทุกสถานการณ์ก็ย่อมสร้างทั้งผลดี และ ผลเสีย ให้กับคนแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกันเสมอ
.
โดยเฉพาะกับพี่น้องในคลาส Online Signature Master Class 2021 ที่ไม่มีใครออกมาบ่น หรือ ตื่นตระหนกกับเรื่องนี้เลย แถมยังแอบดีใจด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกำลังทำให้คู่แข่งของพวกเขาน้อยลง คนที่ขายของแบบไม่เคยให้คุณค่า เน้นตัดราคาก็จะค่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ และ ตายไปในที่สุด
.
นั่นก็เพราะพี่น้องในคลาส ได้นำสิ่งที่ผมเรียนรู้และลงมือทำจริงมาแล้วไปใช้กับการสร้างธุรกิจออนไลน์ของตัวเอง ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของพวกเขาไม่ได้พึ่งการยิงแอดเลย ถ้าจะยิงแอดก็ยิงเพื่อเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น ไม่ใช่ยิงเพราะมันเป็นแค่ทางรอดเดียวที่ทำให้เกิดยอดขาย
.
และในวันนี้ผมจะเล่าให้ทุกคนฟังว่า สิ่งที่ผมและพี่น้องในคลาส Online Signature ทำอยู่นั้น คืออะไร แล้วทำไมการทำออนไลน์แบบนี้ถึงไม่ต้องพึ่งการยิงแอดเลย
.
.
โดยหลักแล้วการทำธุรกิจออนไลน์จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
.
1. การยิงแอด
2. การสร้างฐานแฟน
.
# การยิงแอด พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ การนำสินค้าของคุณ ไปให้กลุ่มเห็นให้มากที่สุด ก็เหมือนการจ้างเซลล์แมน ไปเคาะประตูขายของตามบ้านให้ลูกค้า ซึ่งแน่นอนว่าทุกการเคาะประตูลูกค้า 1 คน นั้นมีต้นทุน ถ้าวันที่คุณไปเคาะประตูบ้านลูกค้าแล้วเขาอยากได้สินค้าของคุณพอดี คุณก็โชคดีได้เงินเขามา
.
แต่ถ้าไม่ ลูกค้าก็จะปิดประตูดังปั้ง !! แล้วไม่คิดจะเปิดประตูให้คุณอีกเลย นั่นจึงทำให้ส่วนใหญ่เวลาเรายิงแอดหว่านคอนเทนต์ออกไป จำนวนลูกค้าที่จะซื้อจึงมีเปอร์เซ็นต์น้อย
.
อย่างไรก็ตาม อยู่มาวันหนึ่ง เซลล์แมนที่คุณจ้างเขารู้แล้วว่า คุณขาดเขาไม่ได้ ถ้าไม่มีเขาคุณก็ตาย เพราะไม่มียอดขาย คุณไม่มีทางเลือก เขาก็เลยหัวใสขอขึ้นค่าจ้าง แถมยังขอเก็บภาษีเพิ่มอีกต่างหาก ในขณะที่คุณมีเงินทุนจ้างพวกเขาเท่าเดิม
.
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ จำนวนบ้านที่เซลล์แมนจะไปเคาะประตูบ้านขายของให้คุณก็จะน้อยลง ทำให้เปอร์เซ็นต์การซื้อก็จะยิ่งน้อยลงเข้าไปอีก ทำให้ในที่สุด มันก็ได้ไม่คุ้มเสีย และทำให้หลายคนต้องพ่ายแพ้ในตลาดออนไลน์ไป
.
# การสร้างฐานแฟน คือ การที่เราให้คุณค่า ให้คุณประโยชน์ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ โดยที่ไม่ได้ขายตั้งแต่วันแรก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้าเอาไว้ตั้งแต่วันที่ลูกค้ายังไม่เกิดต้องการสินค้า เพื่อทำให้ลูกค้านึกถึงเราเป็นคนแรกเมื่อถึงวันที่เขาเกิดความต้องการ
.
ยกตัวอย่างเช่น คุณขายอาหารสุนัข
.
แน่นอนวันแรก คุณอาจต้องจ้างเซลล์แมนไปเคาะประตูบ้านลูกค้าก่อน แต่สิ่งที่คุณจะให้ลูกค้ามันไม่ใช่สินค้าที่ต้องการนำไปขาย อย่างเช่น อาหารสุนัข แชมพูอาบน้ำ เครื่องมือตัดขน ฯลฯ
.
แต่มันคือ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าและเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ เช่น วิธีการดูแลสุนัข วิธีการสังเกตอาการป่วย วิธีการตัดขน ข้อมูลสารอาหารที่ทำให้สุนัขสุขภาพดี วิธรการดูแลขนสุนัข เป็นต้น
.
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เมื่อคุณไม่ได้ขาย ลูกค้าก็จะไม่ปิดประตูใส่คุณ แต่เขาจะเปิดใจรับสิ่งที่คุณมอบให้ เพราะมันเป็นประโยชน์กับเขา ที่สำคัญ เมื่อเขารู้สึกว่าสิ่งที่คุณทำนั้นมีประโยชน์ต่อตัวเขา และ สุนัขที่เขาเลี้ยง ลูกค้าก็จะยิ่งอยากให้คุณนำคุณค่า และ ประโยชน์เหล่านี้มาส่งให้เขาอีก ซึ่งวิธีเดียวที่เขาจะได้รับมันอีก ก็คือ การกดติดตามคุณเอาไว้
.
อย่างไรก็ตาม อยู่มาวันหนึ่ง อาหารสุนัขของเขาหมด แชมพูอาบน้ำสุนัขหมด
.
คุณคิดว่าคนที่เขานึกถึงคนแรก และ อยากจะเดินไปร้านเพื่อ ซื้ออาหารสุนัข และ แชมพูอาบน้ำสุนัข คือ ใคร ครับ ?
.
แน่นอน ก็ต้องเป็นร้านที่เคยเอาสิ่งดีๆ นำความรู้ และ คุณค่ามาให้เขาถูกไหม เพราะเขาทั้งรู้จัก ประทับใจ และ จดจำ ร้านนี้ได้
.
ต่อให้เซลล์แมนไม่ได้มาเคาะประตูเพื่อขายอาหารสุนัขให้เขา เขาก็พร้อมที่จะเดินทางไปซื้อของที่ร้านเอง หรือ ถ้าในออนไลน์ก็ คือ การทักไปที่เพจเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องยิงแอดไปหา
.
แล้วเมื่อลูกค้ากลุ่มนี้ประทับใจ โดยธรรมชาติของมนุษย์เขาก็จะไปแบ่งปัน และ บอกต่อให้ เพื่อนๆ ผ่านการแชร์ ทำให้คุณมีฐานแฟนและลูกค้าเพิ่มขึ้น
.
กลายเป็นว่าลูกค้ากลุ่มนี้ ช่วยเป็นเซลล์แมนขายของให้คุณโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท
.
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ต่อให้เซลล์แมนที่เราเคยจ้างจะหัวหมอ ขอขึ้นค่าจ้าง หรือ เก็บภาษีเรายังไง เราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ เพราะลูกค้าเขาพร้อมที่จะเดินมาซื้อของที่ร้านของเราเอง โดยที่ไม่ต้องไปเคาะประตูด้วยซ้ำ ที่สำคัญลูกค้ายังเป็นเซลล์แมนขายของให้เราฟรีๆ อีกต่างหาก
.
และนี่ คือ วิธีที่ผมใช้กับการทำธุรกิจออนไลน์มาตลอด 2 ปี โดยไม่ต้องง้อการยิงแอดเลย นั่นจึงทำให้ผมไม่เคยได้รับผลกระทบจากการปรับอัลกอริทึม จำกัดการมองเห็น ขึ้นค่าแอด หรือ ล่าสุด คือ เรื่องภาษี
.
เพราะยอดขายของผมไม่ได้มาจากแอดตั้งแต่แรก มันจึงทำให้ผมได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่สำคัญ คือ ฐานแฟน จะตัดสินใจซื้อของจาก คุณค่า มากกว่า ราคา
.
นั่นหมายความว่า ต่อให้คุณขายแพงกว่า เขาก็ยังซื้อของจากคุณ มันจึงทำให้ผมเองไม่เคยต้องมานั่งระแวงเรื่องคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นเลย
.
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผมได้นำกระบวนการที่เป็นเชิงลึกเหล่านี้ ไปแบ่งปันให้กับพี่น้องในคลาส Online Signature Master Class 2021 แบบหมดเปลือก เพื่อให้พวกเขาไปลงมือทำ จะได้ไม่ต้องทำธุรกิจแบบเล่นตามเกมของคนอื่นอีกต่อไป
.
ซึ่งกระบวนการเหล่านั้น ได้ถูกกลั่นออกมาเป็น 10 บทเรียน คือ
.
1 : Overview เข้าใจภาพรวมการตลาดออนไลน์
2 : กลยุทธ์สร้างความต่างทางธุรกิจ โดยไม่ต้องแข่งราคา
3 : จิตวิทยาปิดการขาย
4 : Inbound Content Marketing การเขียนคอนเทนต์แบบแรงดึงดูด
5 : การเขียนโพสต์ขายแบบป้ายยา
6 : ศิลปะการเขียนโพสต์ขายตรง ให้ทำเงินได้แบบ Passive Income (Copy Writing)
7 : การตลาด เพิ่มยอดขาย 2-10 เท่า แบบยั่งยืน
8 : เทคนิคสร้างเพจให้พรีเมี่ยมด้วย Canva
9 : Data thinking
10 : การยิง Ads ขั้นสูง
.
หลังจากที่พี่น้องในคลาสได้เรียนเรื่องนี้ไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องทำธุรกิจตามเกมของใครอีกเลย ใครจะปรับอัลกอริทึมก็ทำไป ใครจะขึ้นค่าแอดก็แล้วแต่ ใครจะเก็บภาษีก็เอาเลย ดีเสียอีก เพราะคู่แข่ง และ พวกตัดราคา จะได้ลดลง
.
และคุณเองก็สามารถมีอิสรภาพในการทำธุรกิจออนไลน์แบบนี้ได้ทันที เมื่อเข้ามาลุยกับผมและพี่น้องอีกกว่า 350 คน ในคลาส Online Signature
.
ทั้งหมดนี้เราจะเรียนกันแบบออนไลน์ เรียนที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ และ สามารถเรียนซ้ำได้ตลอดชีพ และผมจะอัพเดทเนื้อหาและเทรนด์การตลาดออนไลน์ใหม่ๆ แบบเรียลไทม์เป็น Bonus ให้ทุกเดือนจนถึงสิ้นปี 2021
.
คอร์ส Online Signature Master Class 2021
จากปกติราคา 46,000 บาท
ช่วงโปรโมชั่นเหลือเพียง 18,000 บาท
.
แต่เดี๋ยวก่อน !! เฉพาะคนที่แชร์โพสต์นี้ และ สมัครเข้ามา 10 คนแรก
คุณสามารถเข้ามาลุยในคอร์สนี้ในราคาเพียงพิเศษ 10,860 บาท เท่านั้น !!
.
# พร้อมรับของขวัญสุดพิเศษ เป็นคำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room ที่อาจารย์เจษแห่งสำนัก Ohmpiang นักขายมือโปร ที่สามารถขายของทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัว ในแบบที่เหมือนเพื่อนคุยกัน แต่ทุกคนที่ฟังต้องควักกระเป๋าเงินออกมาซื้อแบบ งงๆ ทุกที โดย อ.เจษ จะแอบมา Live เรื่อง “การขาย” ให้ฟังพร้อมเปิดรับคำถามและแจกสคริปต์การขายเรื่อยๆ แบบฟรีๆ
.
หากใครอยากจะลุยไปด้วยกัน ก็ทักไลน์มาได้ครับที่ @samounglai (ใส่ @ ข้างหน้าด้วย) จากนั้นบอกทีมงานว่า “ลุย OSM”
.
ปล1. ราคาพิเศษ 10,860 บาท และ คำเชิญเข้ากลุ่มลับ War Room นี้ เฉพาะ 10 คนแรก เท่านั้น !!
.
ปล2. สามารถชำระผ่านบัตรเครดิต หรือ ผ่อน 0% นาน 10 เดือนได้ (บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ)
.
ปล3. เมื่อเข้ามาเรียนแล้วคิดว่าไม่คุ้ม ผมยินดีคืนเงินให้เต็มจำนวน ภายใน 7 วัน
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過88萬的網紅Lydia Sarunrat Deane,也在其Youtube影片中提到,#สิ่งที่ไม่เคยพูดจากลีเดีย เพราะคำว่า คุณค่า มันไม่มีในตำรา เดียเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรามักจะทำอะไรที่เรารักเพื่อตัวเราเองเสมอ และเราก็จะลืม...
คุณค่า คืออะไร 在 Drama-addict Facebook 的最佳解答
ความเห็นน่าสนใจจาก จขพ ท่านเป็นพระที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาพุทธศาสนาโดยตรง อ่านแล้วน่าสนใจดี คือจริงๆ ถ้าเป็นรูปแบบการศึกษาแบบหลักสูตรที่จ่าเคยเรียนสมัยเด็กๆ มันน่าเบื่อจริงนะ ให้ท่องจำว่า วันนั้นวันนี้คือวันอะไร หลักธรรมนี้มีกี่ข้อ แต่ละข้อหมายถึงอะไร บลาๆ เพ่ือเอาไปสอบ แค่นั้น แต่ในแง่การเอาไปใช้ หรือประยุกต์ใช้กับชีวิตยังไง เราเรียนกันน้อยมาก ส่วนมากเน้นท่องจำมากกว่า เข้าใจไม่เข้าใจก็อีกเรื่อง ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าเด็กรุ่นใหม่จะมองว่า ที่ๆเราเรียนกันมา มันไม่เวิรค ถ้าคนที่ทำงานในด้านการศึกษาศาสนามีไอเดียแบบหลวงพี่ท่านนี้ก็คงดี
#ฟังเสียงหัวใจของเขาอย่างลึกซึ้ง
.
เหตุการณ์เร็วไวจริงครับ สองอาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดเรื่องนี้กับลูกศิษย์ที่เป็นพระสอนศีลธรรมแกนนำอีสานรูปหนึ่ง ขณะนั่งรถไปเป็นวิทยากรพัฒนาครูที่เป็นกลุ่มตัวอย่างให้กับงานวิจัย ป.เอก นักศึกษาท่านหนึ่งที่ต่างจังหวัด ผมบอกว่า..
.
“..ท่านคอยดูนะ เดี๋ยวเด็กเยาวชนจะออกมาประท้วงวิชาพระพุทธศาสนาแน่นอน ยก 3 นิ้ว ท่านคอยดู”
“..ต่อไปพวกท่านจะเข้าไปสอนศีลธรรมในโรงเรียนยากขึ้น หรืออาจจะไม่ได้เข้าไปสอนที่โรงเรียนอีกเลย”
“.. พระจะพากันออกมาบ่นหรือประท้วงว่า ทำไมไม่ให้พระเข้าไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน”
“..ท่านรู้ไหมตอนที่พระเรามีโอกาสเข้าไปสอน ไปทำหน้าที่ พระเราหลายรูป (เยอะมาก) ไม่สนใจ ไม่ใยดี ไม่รักการสอน ไม่ไปสอน ไม่ห่วงเด็ก จะเอาแต่เงินแต่ไม่สอน ไม่ทำใบรายงานส่ง หน้าที่บกพร่อง การสอนก็มีปัญหา”
“..ท่านรู้หรือยัง หลักสูตรฐานสมรรถนะตัวใหม่ที่ สพฐ. จะประกาศใช้ปี 65 ทั้งประเทศไม่มีวิชาพระพุทธศาสนา สัญญาณเตือนมาแล้วนะท่าน”
“..ปี 61 ผมพูดเตือนสติ บนเวทีปฏิรูปการสอนพระพุทธศาสนาให้คนร่วมงานเกือบ 500 คนจากทั่วประเทศที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซฟังว่า “ไม่มีพระเข้าไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน ไม่น่ากลัวและเลวร้าย เท่ากับมีพระเข้าไปสอนในโรงเรียนแล้วสอนแบบผิดๆ จนเด็กเบื่อ ไม่มีความสุข เครียด เบื่อพระ เบื่อธรรมะ หนีห่างพระพุทธศาสนา และเอาไปแก้ปัญหาชีวิตก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ฝึกสอนแก้ แต่เน้นสอนจำตัวหนังสือ”
“...ไม่มีใครทำร้ายโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนได้ดี เท่ากับพวกท่านเอง (พระสอนศีลธรรม)”
“..เด็กถูกวางยาพิษสอนแบบผิดๆ มาเนินนานหลายปีแล้ว ด้วยการสอนแบบผิดๆ พากันไปสอนแต่ให้เด็กท่องจำตัวหนังสือไปสอบ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง ไม่ได้สอนแก่นธรรม สอนคุณค่า ไม่สอนเครื่องมือปัญญาการใช้ชีวิตให้เขา ผ่านการสัมผัสสัมพันธ์จริง..”
“.. แต่ปัญหาการนำธรรมสู่ใจเด็กเยาวชนด้วยการสอนไม่สมสมัยนี้ของพระ/ครูเอง ไม่ได้พึ่งเกิดท่าน เกิดขึ้นหลายทศวรรษ”
“...แต่ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรให้ถูกต้องบ้างเลย
ปัญหานี้ยิ่งจะซ้ำเติมทำร้ายเด็กเยาวชน ส่งผลด้านลบกลับมาที่พระพุทธศาสนา และสถาบันพระพุทธศาสนา”
.
ดังเช่น เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้
.
นี่คือเรื่องราวที่บอกกล่าวลูกศิษย์วันนั้น
เพราะผมรู้เห็นปัญหามานานโข
เราจึงพาท่านและเครือข่ายแกนนำมาร่วม
สร้างชุมชนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาขับเคลื่อน
ช่วยเหลือท่านอื่นไปด้วยกัน
.
อะไรทำให้เด็กเขาเรียกร้องอย่างนั้น
เหตุและปัจจัยที่แท้จริง ที่เกี่ยวข้องคืออะไรบ้าง
ความรู้สึกของเยาวชนที่เรียกร้องเป็นอย่างไร
ทำไมเขาจึงรู้สึกอย่างนั้น
ผู้ใหญ่ คณะสงฆ์ ครู พระสอน จะเข้าใจความรู้สึก
ของเด็กๆ เยาวชนเหล่านั้น ได้อย่างไร
.
การตั้งคำถามเช่นนี้ทำให้เราไม่ด่วนสรุปตัดสิน
ว่าเด็กเยาวชนเหล่านั้นเป็นคนไม่ดี หัวรุนแรง
แต่การถามทำให้เรามีสติ ใคร่ครวญ
ทบทวน ไตร่ตรอง (reflect) ความจริงที่เกิดขึ้น
.
พระพุทธศาสนา เป้าหมายสอนเด็กให้เกิดอะไร
.
สอนชีวิตตามความจริงที่เป็นอยู่
สอนให้มีความเห็นถูกต้อง (สัมมาทิฐิ)
หรือปรับชุดทิฏฐิ (Mindset) ร่องความคิด
ความเชื่อแบบผิดๆ ให้มีความถูกต้อง
สอนให้คิดเป็น รู้จักคิด แก้ปัญหาเป็น คิดแยกแยะ
วิเคราะห์ให้เห็นความจริงตามสภาวะของสิ่งนั้น
สืบสาวหาเหตุและผล ...เป็นต้น..
บ่มเพาะคุณธรรม ความดี ความงาม ความจริง
และความสุขในการเรียนรู้ (ฉันทะ) ใฝ่รู้ ใฝ่ดี
อยากแสวงหา ลงมือทำความดี
เป็นต้น...
.
หากเป้าหมายการสอนพระพุทธศาสนา ดังกล่าว
ครู พระสอนศีลธรรม สอนผ่านกระบวนการเรียนรู้
แบบใฝ่รู้ (active learning) ที่มีความหลากหลาย
และเหมาะสมกับความสนใจผู้เรียน เช่น PBL,MBL,PjBL,CBL,RBL,Contemplative Education, Transformative learning,.ABL(Ariyasacca,อริยสัจ) Wise reflections (โยนิโสมนสิการ)
Design Thinking, G-A-M-M (เกม,ศิลปะ,เพลง,
สื่อหนัง คลิปสั้น) เป็นต้น..
ผู้สอนปรับเปลี่ยนบทบาทจากนักพูด นักบรรยาย
นักป้อนหลัก/ข้อธรรม เนื้อหาให้เด็กเสพจำเท่านั้น
ไปสู่การเป็นนักออกแบบกระบวนการเรียนรู้
เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้(fa) ให้เด็กได้เรียนรู้
ผ่านการลงมือทำ มากกว่าเรียนท่องจำตัวหนังสือ
ผู้สอนเป็นนักตั้งคำถาม (ปุจฉา) อย่างมีพลัง (PQ)
เป็นโค้ชคอยกระตุ้นให้เด็กคิดเป็น
ให้เด็กอยากตอบ (วิสัชนา) สู่นักสร้างสรรค์ธรรม
ค้นหา ค้นพบความจริงของชีวิต (ธรรมมะ/แก่นธรรม)
ด้วยตนเองผ่านกลุ่ม/เดี่ยว เป็นต้น
มีการไตร่ตรองสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection)
หลังการจัดกิจกรรม (aar) เพื่อให้เข้าใจตน
เข้าใจคน เข้าใจโลก ชีวิตมากขึ้น
.
การสอนพระพุทธศาสนาด้วยวิธีดังกล่าว
หากผู้เรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้เช่นนี้
เขาจะมีความสุขในการเรียนรู้พระพุทธศาสนาไหม
คำตอบชัดอยู่แล้วจากการทดลองวิจัยว่า
ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้
คิดเป็น ใฝ่รู้ ใฝ่ดี ใฝ่สร้างสรรค์
และสามารถตอบเป้าหมายการสอนพุทธศาสนา
สำหรับเด็กและเยาวชนได้ทุกข้อเช่นเดียวกัน
.
คงไม่มีเด็กเยาวชนคนไหนออกมาเรียกร้อง
เพื่อให้สังคมมาทำร้ายความสุขของตนเองหรอก
คงไม่มีใครอยากทำร้ายความสุขตนเอง
เพราะเขามีความทุกข์ (น่าเบื่อ เซ็ง เครียด ฯลฯ)
จากการเรียนพระพุทธศาสนา ใช่ไหม
เขาเรียนแล้วไม่เกิดประโยชน์ ใช่ไหม
เขาเรียนแล้วไม่มีความหมาย
และคุณค่ากับตัวเขาเอง ใช่ไหม
.
ตั้งสติ ทบทวนไตร่ตรอง ย้อนถามตนเอง
ในบทบาทพระสอน ครูผู้สอนเสียก่อน
1) เราชัดใน “แก่นธรรม” ของเรื่องนั้นๆ ไหม
(ถ้าไม่รู้จักแก่น วิเคราะห์แก่นธรรมไม่เป็น
ท่านก็จะพาเด็กท่องจำเนื้อหาคืออะไร
เรื่องเป็นยังไง มีเท่าไร อะไรบ้าง วนเวียนแบบนี้)
2) ทำไมต้องสอนเรื่องนั้น เขาจะได้ประโยชน์อะไร
คุณค่า/แก่นธรรมที่เขาควรได้ คืออะไร
(ถ้าเขาได้แก่นธรรม ได้คุณค่า ที่เหลือ
เขาจะไปศึกษาค้นหาแสวงหาด้วยตนเอง
เรียนแล้วได้ passion คนเราไปต่อเอง ถ้าไม่คือจบ)
3) ใช้กระบวนการอะไรที่จะพาเด็กเข้าถึงแก่นธรรม
(ต้องไม่ใช้บรรยาย เทศน์ บอกท่องให้จำ)
4) จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเข้าถึงแก่นธรรมหรือคุณค่า
จากเรื่องที่เรียนนั้นๆ
(ประเมินผลที่สมรรถนะ เขาสามารถทำอะไรได้ จากสิ่งที่เขารู้ เขาทำ และคุณค่า รวมถึงการได้สะท้อนความรู้สึกนึกคิดออกมา จากพฤติกรรมเชิงบวกที่แสดงออกมา เป็นความรู้ขาออก ซึ่งเครื่องมือการสอนที่หลากหลายได้กล่าวไว้ข้างต้น จะประเมินผลชัดเช่นเจน)
.
หากการสอนหลักธรรม พระพุทธศาสนา
เด็กไม่เกิดสมรรถนะทางการเรียนรู้พระพุทธศาสนา
ขาดความสามารถในการ “นำธรรมไปทำ”
นั่นคือ ความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวง
.
ผลเสียหายใหญ่หลวงที่ตามมา คือ
เด็กเขาจะเบื่อ วิชานี้ เบื่อพระ เบื่อพระพุทธศาสนา
แค่เห็นหน้าพระ ผู้สอน วิชานี้ (ส่วนใหญ่เป็น)
เขาตั้งชุดความคิด (mindset) อกุศล ลบๆ รอแล้ว
นั่นคืออะไรรู้ไหมครับ “การสอนผิดวิธี”
และไม่เหมาะสมกับเด็ก และความสนใจใฝ่รู้ (ฉันทะ)
คือบ่อนทำลายศรัทธาของเด็กเยาวชนที่มีต่อ
พระพุทธศาสนา เลยทีเดียว.. จบเลย !
.
นี่คือการทำร้ายความรู้สึกของเด็กเยาวชน
ไม่ให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา
โดยไม่มีเจตนา (อวิชชา) แบบเนียนที่สุด
และน่ากลัวที่สุด
เพราะเด็กยาวชนเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย
จบเลย !! ลงท้ายก็กล่าวโทษเด็ก
.
ปัจจุบรนเยาวชนส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าวัดอยู่แล้วครับ
การสอนแบบผิดวิธี ยิ่งไปกดทับความรู้สึกเด็กเพิ่มเติม
แทนที่การศึกษาพระพุทธศาสนา
จะต้องจัดกระบวนการทำลายอวิชชา-ตัณหา
เพื่อเสริมสร้าง ปัญญา-กรุณา
กลับไปตอกหมุดเสริมอวิชชา-ตัณหา ให้หนักไปอีก
.
วิชาพระพุทธศาสนาไม่ใช่วิชาที่จะจับเด็กมานั่งฟัง
“เน้นท่องจำๆ ตัวหนังสือเพียงอย่างเดียว”
(ส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะพระสอน)
“การจำหลักธรรม” เป็นขั้นต้นของปัญญาขั่นต่ำสุด
การเรียนรู้เด็กต้องจำอยู่แล้ว
การสอนให้จำ มีหลายวิธี เช่น
ให้เด็กท่องจำเลย ให้เรียนรู้ด้วยการลงมือทำ
และอีกหลายวิธีการ
แต่ความรู้สึกในวิธีการจำนั่นต่างหาก สำคัญ
.
ปัจจุบันปัญหาคือ การสอน “หยุดแค่จำ” ครับ
การคิดขั้นสูง (โยนิโสมนสิการ) ให้เด็กคิดเป็น
ไม่ได้ฝึกคิดค้นหาความความจริง สืบสาวเหตุ
แยกแยะ สร้างสรรค์ความดี (ลงมือทำ)
ซึ่งขัดแย้งกับการสอนพระพุทธศาสนา
ที่มีเป้าหมายสอนให้คนเกิดปัญญา
คิดให้ถูกวิธี (อุปายมนสิการ)
คิดให้เป็นระบบ (ปถมนสิการ)
คิดให้มีเหตุผล (การณมนสิการ)
คิดดีให้เป็นกุศล (อุปปาทกมนสิการ)
โดยใช้โยนิโสมนสิการ คือเครื่องมือ
ในการพัฒนาการคิดที่หลากหลาย หรือ
เครื่องมือที่หลากหลายเหมาะสมกับเด็ก เป็นต้น
.
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์เหมือนกัน
ตรงที่ ต้องทดลอง ต้องปฏิบัติ เรียนฟิสิกส์
เคมี ชีววิทยา แล้วครูไม่พาเด็กทำ Lab
ก็ไม่แตกต่างจากอ่านตำราทฤษฎีปั่นจักรยาน 3 ปี
แต่ไม่เคยปั่นจักรยานเลย เด็กก็ไม่รู้จริง
ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น เอาไปใช้ต่อไม่ได้
เพราะขาดประสบการณ์การทดลอง (Lab)
พระพุทธศาสนาก็เช่นกัน ต้องทำ ต้องสัมผัส
จึงจะเห็นความจริง เข้าใจความจริง เห็นคุณค่า
ถ้าเขาไม่เห็นคุณค่า จะนำไปใช้จริงกับตนเอง
และใช้กับผู้อื่นได้อย่างไร
.
หากเด็กเรียนแล้วไม่ได้เกิดประโยชน์
เรียนแล้วไม่มีความหมาย หรือคุณค่าต่อชีวิตเขา
เด็กเยาวชนมีสิทธิที่จะไม่อยากเรียนก็ได้
เพราะเรียนไปแล้ว มีแต่ “ความทุกข์”
เกิดความเครียด เซ็ง รู้สึกน่าเบื่อหน่าย..ฯลฯ
และเมื่อเด็กเยาวชนปฏิเสธพระพุทธศาสนา
.
อนาคตวันข้างหน้าเด็กเยาวชนเหล่านี้
เขาจะมาทำนุ บำรุง ดูแล รักษา และปกป้อง
พระพุทธศาสนาต่อไปไว้ได้อย่างไร
เพราะตัวเขาเข้าไม่ถึง “แก่นธรรมคุณค่า”
ของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
.
คำถามบอกทิศ คำตอบบอกทาง
.
ใครละทำให้เด็กเยาวชนเข้าไม่ถึงคุณค่า
ของแก่นธรรมสาระเรื่องนั้นๆ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้สอน พระสอนศีลธรรม
(ยังไม่รวมถึงรากแก้วต้นแบบ คือ ผู้ปกครอง)
เป็นตัวแปรหลักสำคัญในเรื่องนี้
เพราะเป็นผู้จัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
แต่การจัดการศึกษาพัฒนาผู้เรียนคงไม่ใช่กล่าวถึง
อยู่แค่ตัวผู้สอนเพีงประการเดียว
และมีเหตุผล ปัจจัยอะไรบ้างเกี่ยวข้อง
กับสิ่งที่เยาวชนเขาเรียกร้องคือ ผู้รับผลกระทบ
.
...ตัวหลักสูตรสาระ เนื้อหาเรียนเยอะ
เน้นความรู้ อันนี้ก็น่าเห็นใจครูครับ
ตัวชี้วัดเยอะ บีบรัดครู ครูเครียด เด็กก็เครียด
...แต่ที่หนักกว่าหลักสูตรแกนกลาง ก็คือ
“หลักสูตรธรรมศึกษา” ของแม่กองธรรม (คณะสงฆ์)
หนักว่าหลักสูตรแกนกลางอีก ก็บังคับให้สอบอีก
หนักกว่าอีก ก็พาเด็กทุจริตสอบเสียเอง
..วิธีการสอน ..ตัวผู้สอนเอง และ
..การวัดประเมินผล เน้นจำสอบ ฯลฯ คือเหตุปัจจัย
ถ้าเหตุปัจจัยดี จะต่อว่ากล่าวโทษเด็กไปใย
.
ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้นึกถึงประโยคที่ Dr. Heidi Hayes Jacobs (2010) ได้เคยเสนอคำถามไว้ ในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน สู่ศตวรรษที่ 21 ไว้ 3 ข้อว่า
✅ What do we cut? เราควรตัดสิ่งใดออกไปบ้าง?
✅ What do we keep? เราควรเก็บรักษาสิ่งใดไว้บ้าง?
✅ What do we create? เราควรสร้างสรรค์สิ่งใดบ้าง?
.
สรุปคือ วิชาพระพุทธศาสนา
ควรจะต้อง ตัด-เก็บ-สร้างสรรค์สิ่งใดบ้าง?
ที่สอดคล้องและเหมาะสมต่อการนำไปใช้จริง
ของเด็กเยาวชนในสภาวะการณ์ปัจจุบัน
.
เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังว่าผู้ใหญ่ คณะสงฆ์
ต้องมีความใจกว้างมากพอ มีความเมตตาสูง
อย่ากล่าวโทษต่อว่าเด็กลูกหลานว่า ไม่ดี หัวรุนแรง
“ฟังเสียงหัวใจของเขาอย่างลึกซึ้ง” โดยไม่ตัดสิน
อาจจะทราได้ว่า เขาทุกข์มากแค่ไหน
“เขาต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหน
ที่ต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องกับความทุกข์
กับความอยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ
ที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น”
.
เมตตาทบทวน แก้ไขปัญหาที่สั่งสมมานาน
ควรตัด - เก็บ - สร้างสรรค์อะไรใหม่
เพื่อให้เด็กเยาวชน “ได้นำธรรมไปทำจริง”
ให้มีความสอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
.
ผมเตือนพระ มา 2-3 ปี หลายเวที ระวังนะท่าน
.
เรื่องนี้ผมเตือนสติพระสอน ลูกศิษย์หลายเวที
หากท่านไม่ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีการสอน
เพื่อให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับเด็ก
จัดการเรียนรู้ให้ตอบสนองความสนใจใฝ่รู้ของเด็ก
ท่านอาจไม่มีโอกาสได้เข้าไปสอนในโรงเรียนอีกเลย
เพราะการจัดการเรียนรู้ของท่านไม่มีคุณภาพพอ
ที่จะบ่มเพราะปัญญา ศีลธรรม ความสุขให้กับผู้เรียนได้
สถานศึกษาขาดความมั่นใจ ไม่นิมนต์อีกเลย
และเด็กเยาวชนจะไม่อยากเรียนพุทธศาสนา
เขาจะออกมาเรียกร้องพวกท่านนะ ! !
2-3 ปี ที่ผมเคยพูดไว้หลายเวทีหลายจังหวัด ก็เกิดขึ้น
.
คำถามคือ พระเอง ครูผู้สอนเอง
จะทำให้ห้องเรียนพระพุทธศาสนา
เป็นห้องเรียนที่มีชีวิต
เป็นห้องเรียนที่ความสุขในการเรียนรู้ ใฝ่รู้
เป็นห้องเรียนที่มีความหมาย
และมีคุณค่าต่อผู้เรียนได้อย่างไร
.
การจะช่วยบ่มเพราะปัญญา คุณธรรม ความสุข
ให้กับเด็กเยาวชน อยากสอนให้เป็นคนดี
อย่างน้อยๆ ผู้สอน / พระเอง ต้องมีของ D 4 อย่างกับตัว
D1 : #มีความประพฤติดี
—— อย่าหนีสอน ทิ้งห้องเรียน ไม่รับผิดชอบหน้าที่ รักการสอน เป็นแบบอย่างที่ดีของคุณธรรมด้านต่างๆ จะสอนอบายมุข ยังสูบบุหรี่อยู่เลย ท่าที การจัดการอารมณ์ตนเองให้เป็น มีสติ ฯลฯ สรุป จรณะ (soft skills) ท่านต้องมีดี ถึงจะสอนเขาให้ได้ดี นึกถึงพระสารีบุตรที่เห็นแบบอย่างที่ดี จากพระอัสสชิ แล้วปฏิบัติตามครับ ชัดเจนสุด
D2 : #แผนการสอนดี
—— พระต้องเขียนแผนเป็น และต้องเป็นแผนเน้นกระบวนการใฝ่รู้ (AL) มากกว่า การท่องจำสอบ
เด็กเยาวชน ไม่ใช่ก้อนหิน ขอนไม้ เขามีความรู้สึก
พระไม่ใช่จะพูด จะทำอะไร ตามใจตนเอง
เกิดลูกเขาเป็นอะไรขึ้นมา รับผิดชอบไหวไหม
หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแล้วเข้าห้องสอน ขาดการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่เข้าถึงแก่นธรรม คุณค่า ถ้าแบบนั้นสอนเด็กให้เชื่อง อันตรายมาก จำหลักได้แต่เข้าไม่ถึงแก่นธรรมเรื่องนั้นๆ เด็กเอาไปใช้จริงไม่ได้ สอนแค่จำ คืออะไร มีเท่าไร อะไรบ้าง (knowledge) เอาแค่จำสอบ สอนพุทธะต้องตื่นรู้ การตื่นรู้ต้องฝึกฟัง ให้ทำ ตั้งคำถามสอนคิด เปิดโอกาสให้คิด มากกว่าการสอนให้เชื่อตาม ถ้าไม่ได้ฝึกสมองคิด พัฒนาปัญญาเด็ก เมื่อเจอปัญหาในชีวิต เขาจะแก้ปัญหา (ทุกข์) ไม่ได้
D3 : #สอนดี
—— มีความเมตตา บรรยากาศอบอุ่น สนุก เร้า ท้าทาย เดินให้ทั่วถึงเด็ก ปรับจากห้องเรียนเงียบ ต่างคนต่างทำ เป็นห้องเรียนชีวิต มีความหมาย เรียนเป็นกลุ่ม สอนกันเป็นทีม ทำหน้าที่เป็นโค้ช ใช้คำถาม คือสอนคิด ใช้คำถามกระตุ้นส่งเสริมการคิดสู่ปัญญา ให้มองเห็นความจริงของชีวิต ฯลฯ...
D4 : #เด็กคุณภาพดี
—— เด็กต้องเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เด็กได้ฝึกฟัง (สุตะ) ได้ฝึกคิด (จินตะ/โยนิโสมนสิการ) ได้ฝึกทำ (ภาวนา/ลงมือปฏิบัติ) นำไปสู่เกิดสมรรถนะ ทักษะ คุณธรรม ศีลธรรม และผลการเรียนดี
.
ทักษะ วิธีการสอน สำคัญกว่าเนื้อหาที่สอนก็จริง
แต่ที่สำคัญกว่าทักษะ วิธีการสอน คือ
จรณะ ความประพฤติ คุณธรรมของท่าน
ความประพฤติไม่ดี ก็สอนเด็กได้ไม่ดี
ลูกเป็นอย่างที่พ่อแม่/ผู้ปกครองเป็น
ศิษย์เป็นอย่างที่ครูเป็น
ต้องมีทั้งจรณะ (soft skills) วิชาการ (hard skills)
ควบคู่ผสานสอนเหนี่ยวนำกันไป
.
ให้กำลังใจพระสอนศีลธรรม และผู้สอน
มั่นฝึกฝนพัฒนาการสอนครับ
รักการสอน รักการพัฒนาเด็กเยาวชน
เป็นแบบอย่างของความดี ความงาม ความจริง
ให้กับเด็กเยาวชนลูกศิษย์
ศีลธรรม คือรากฐานความสุขของสังคม
คนขาดศีลธรรม คือ โรคป่วยของสังคม
ช่วยเด็ก บ่มเพาะเด็กเยาวชนต่อไป
ด้วยจิตใจที่เมตตาของท่านครับ
คุณค่า คืออะไร 在 Fit Junctions Facebook 的精選貼文
เวย์ มีหลายสูตร เห็นหลายๆคนสับสนกัน วันนี้เอามาเล่า เจาะลึกครับ
Protein Series EP2: Whey Protein คืออะไร มาจากไหน มีกี่ชนิด
อ่านแล้วอย่าลืมแชร์ต่อ
.
.
.
.
.
.
เมื่อวานพูดถึงโปรตีนผงไปแล้ว (ไปอ่านที่นี่)
http://www.fitjunctions.com/proteinpowder
วันนี้มาต่อกันเรื่อง Whey Protein กันครับ
#Wheyมาจากไหน
เริ่มจากนมสด สามารถนำไปทำผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เช่น ครีม เนย ชีส โยเกิร์ต และนมพร่องมันเนยๆ
Whey protein ที่เรารู้จักกัน แรกเริ่ม ก็เป็น By Product หรือของแถมที่
มาจากการทำชีส เพราะขั้นตอนในการทำชีสนั้น ใช้แบคทีเรียเพื่อทำการแยกไขมัน+โปรตีนนม ออกจากของเหลว ทำให้จับเป็นก้อน ซึ่งน้ำที่แยกออกมานั้น เรียกว่า Whey ส่วนที่เป็นก้อนๆ เรียกว่า Curd
ถ้าอยากรู้เรื่องชีส เม้นมา เดี๋ยวมาเขียนต่อบทความอื่น
(ผมชอบกินมาก เขียนได้ยาววว)
Whey เป็นน้ำใสๆจ๋องๆ ซึ่งเค้าก็เอาไปสกัด ให้เป็นผง ด้วยหลากหลายกรรมวิธี และมีหลายความเข้มข้น บริสุทธิ์ จนได้ออกมาเป็น Whey หลายสูตรนั่นเอง
#สูตรหลักๆที่เราพบได้บ่อยอิงจากกรรมวิธีการผลิตและความเข้มข้น
#สูตร1 Whey Protein Concentrate (WPC) เป็นสูตรที่พบได้บ่อยที่สุด โปรตีน 80-85% ส่วนที่เหลือก็มีแป้ง และไขมันนิดๆหน่อย
#สูตร2 Whey protein Isolate (WPI) เป็นสูตรที่เข้มข้นที่สุด มีโปรตีนถึง 90-95% แลกมากับราคาที่แพงกว่า
#สูตร3 Whey hydrolysate: เอา Whey ไป "ย่อย หรือแตก" ด้วยความร้อน กรด หรือ Enzyme เพื่อให้ดูดซึมได้เร็วขึ้นกว่าสูตรอื่นๆ แต่มักมีรสขมๆ
ดังนั้นเลิกกังวลเรื่อง Whey โดนความร้อนแล้วโปรตีนเสีย
จริงๆมีอีกหลายสูตรๆ เช่น Lean / Mass / Blend ซึ่งขอไม่ลงลึกในบทความนี้ เพราะหลักๆ ก็คือการเอา 3 สูตรนี้ ไปผสมกับโปรตีน แป้ง หรือโปรตีน และสารอื่นๆ เพื่อให้แต่ละยี่ห้อ มี #ลูกเล่นทางการตลาด มากขึ้นนั่นเองครับ
(บางทีสูตร Blend พวกนี้แหละ อร่อย ยอมเค้าเลย)
------------------
#คำถามที่พบบ่อย
แต่ละสูตร ต่างกันมากน้อยแค่ไหน เอาจริงๆมันไม่ได้ต่างกันขนาดที่ว่ากิน WPI แล้วจะกล้ามใหญ่กว่า WPC เพราะต่อ 1 scoop โปรตีนต่างกันไม่ได้มาก และไขมันต่างกัน 1-3g (แล้วแต่ยี่ห้อ) ซึ่งส่งผลค่อนข้างน้อยครับ
#กินอันที่เราสู้ราคาไหวและรสชาติถูกใจ
(ส่วนตัวผมกิน Blend + Casein ไว้มาเล่าวันหลัง)
------------------
#เรื่องราคาและสารอาหาร
อันนี้แล้วแต่ยี่ห้อครับ เฉลี่ยๆอยู่ที่ 21-27 บาท ยิ่งซื้อถังใหญ่ยิ่งถูก
------------------
#สารอาหารใน Whey VS สารอาหารในอาหารอื่นๆ
คุณค่า ต่อ 1 scoop ประมาณ 30g
Protein 20-25g
Fat 1-3g
Carbs 2-5g
สำหรับการเปรียบเทียบ ว่าอะไรดีกว่ากัน ตอนนี้บอกเลยว่า อาหารเสริม มันแทนอาหารหลักไม่ได้ ดังนั้นเปรียบเทียบแบบ VS ไปก็เท่านั้น เพราะต่างฝ่ายต่างมีข้อดี ข้อนี้ขอพูดถึงในบทความใน Series นี้ตอนต่อๆไป เราจะเปรียบเทียบให้ดูหลายๆเมนูเลยครับ
------------------
#ความคุ้มค่า
เมื่อเทียบกับอกไก่กิบ 1 kg ราคา 70-100 บาท ได้โปรตีน 200g แน่นอนว่า Whey แพ้ขาดลอย แต่อย่าลืมว่า อกไก่ ต้องปรุงเอง เคี้ยวเอง เอามาชงดื่มแบบ Whey ไม่ได้
แต่ถ้าเทียบราคา กับแหล่งอาหารที่เรากินนอกบ้าน ซึ่งมักจะมีไขมันติดมาด้วย เช่น ไก่ผัดร้านคุณป้า ราคา 30-40 บาท ได้โปรตีน 20g แบบนี้ Whey ชนะขาดลอย เพราะไก่ผัดร้านคุณป้า มักมีไขมันมาด้วยตรึม
------------------
#ความเร็วในการดูดซึมต่อชั่วโมง
Whey ด้วยความที่เป็นของเหลว และความข้นต่ำ จึงย่อยและดูดซึมเร็วมากเมื่อเทียบกับโปรตีนอื่นๆ
ไข่ 2.9g / HR
Soy Protein Isolate = 3.9g / HR
Casein 6.1g / HR
Whey = 8-10g / HR
Steak หมู = 10g / HR
ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าดูดซึมเร็ว ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป เพราะอาหารแต่ละชนิด อยู่ในท้องเราเป็นเวลาไม่เท่ากัน และไม่มีใครกินอาหารชนิดเดียว ล้วนๆ จึงต้องคำนึงถึงอัตราการดูดซึมของอาหารที่อยู่ในท้องอยู่แล้วด้วยครับ
พูดง่ายๆ ข้อนี้ แทบส่งผลน้อยมากๆ ไว้บทความต่อๆไปผมจะเอางานวิจัยมาลงลึกให้อ่านกันครับ วันนี้ข้ามไปก่อน
------------------
สรุป: Whey ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นแค่โปรตีนผงชนิดหนึ่ง
Whey มีประโยชน์แน่นอน ทั้งดูดซึมเร็ว เหมาะกับคนที่ออกกำลังกายหนักๆ ต้องการโปรตีนด่วนๆ แต่ด้วยความที่มันดูดซึมเร็วเกินไป จึงไม่อยู่ท้อง และไม่เหมาะจะนำมาดื่มแทนมื้ออาหาร หรือแทนโปรตีนจากอาหารแข็งครับ (พรุ่งนี้อธิบายต่อลึกๆ)
พรุ่งนี้ผมมาต่อกัน เรื่อง Q&A เกี่ยวกับ whey และมาต่อเรื่อง วิธีการดื่ม ให้คุ้มที่สุดกันนะครับ มีเยอะมาก เดี๋ยวจะยาววเกินไป #แค่นี้ก็ยาวมากๆแล้ว
*******************
> มาเรียนฟิตเนส และโภชนาการกับเรา สอนลงลึก ไม่อดอาหาร ไม่หักโหม
มีทั้งคอร์ส Online หรือเรียนกับ Personal Trainer คุณภาพ
>Line @fitjunctions (มีตัว @)
คอร์ส Online เทอม 4 ปี 2016 Promotion Early Bird จะเต็มแล้วนะครับ (เริ่มเรียนตุลา)
http://www.fitjunctions.com/onlinecourses
คุณค่า คืออะไร 在 Lydia Sarunrat Deane Youtube 的精選貼文
#สิ่งที่ไม่เคยพูดจากลีเดีย เพราะคำว่า คุณค่า มันไม่มีในตำรา เดียเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรามักจะทำอะไรที่เรารักเพื่อตัวเราเองเสมอ และเราก็จะลืมเสมอ ที่จะหันกลับมามองคนที่รักเรา...
เริ่มต้น ที่จะรักตัวเองและคนที่รักเราวันนี้ #ARMATA #ImmuneBooster #เสริมภูมิคุ้มกัน
IG: @chivitt.armata @chivittofficial
FB: @ChivittOfficial @Armata
Line@ คลิก https://rb.gy/yir9go หรือ @chivitt (มี@)