เปิดบันทึก "ทำไมผมถึงเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย" แม้มีธุรกิจส่วนตัว ท่ามกลางภาพจำจากสังคมที่มองว่า "เงินเดือนน้อย ไม่มั่นคง จำนวนนศ.น้อยลง และคนเป็นอาจารย์เพราะต้องการแค่สร้างโพรไฟล์"
-----
วันนี้ผมขออนุญาตเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเมืองจีนบ้าง
.
มีคนเคยถามผมว่า ทำไมถึงเป็นอาจารย์ ทั้งที่ก็ทำงานส่วนตัวอยู่แล้ว ผมว่าเวลานี้ถือเป็น 'ช่วงเวลาเหมาะสม' สำหรับผมเลย
.
มาดูก่อนว่า ทำไมผมถึงอยากเป็นอาจารย์?
ผมอยากเป็นอาจารย์ เพราะอยากแบ่งปันประสบการณ์และความรู้แก่คนอื่น ซึ่งยอมรับว่าเป็นสิ่งที่รักและอยากทำมานานแล้วเมื่อกลับมาอยู่ไทย
แต่อย่างที่หลายคนคงได้รับรู้เรื่องราวทั้งจากหน้าสื่อ จากการบอกต่อปากต่อปากของทั้งผู้ที่อยู่ในวงการอาจารย์ เคยอยู้หรือไม่เคยก็ตาม รวมถึงกระแสบนโซเชียล ถึงเรื่องราว
.
"อาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยมีความไม่มั่นคง เงินเดือนไม่มาก สวัสดิการก็ไม่เท่าสมัยเป็นข้าราชการ ปัจจุบันอาจารย์ในมหาวิทยาลัยรัฐ ก็ไม่ใช่ข้าราชการแล้ว (ต้องยอมรับอีกเรื่องว่า อาจารย์จำนวนไม่น้อยในยุคก่อน เป็นอาจารย์เพราะมองว่ามั่นคง เป็นข้าราชการ) และตอนนี้จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยไทย ก็น้อยลงเรื่อยๆ บางหลักสูตรบางม.ถึงขั้นต้องยุบ"
.
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาข้างต้น ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอาจารย์ อย่างเช่น อาจารย์บางท่านรับงานนอก เพื่อให้มีรายได้มากพอ หรือมาทำงานเป็นอาจารย์เพื่อสร้างโพรไฟล์ไปต่อยอด หรือบางครั้งต้องทำประเมินและมีภาระที่ไม่ใช่งานสอนและงานวิจัยมากจนเกินไป การพัฒนาศักยภาพและความรู้ในการเอามาถ่ายทอดแก่นักศึกษาจึงถูกเบียดเบียนไปด้วย
.
ผมทราบดีถึงปัญหา เนื่องจากมีคนรอบข้างเป็นอาจารย์เยอะและก็ศึกษาเกี่ยวกับการทำงานสายนี้มาพอควร
ผมจึงตกตะกอนทางความคิดว่า "หากผมเป็นอาจารย์ หรือจริงๆคือ การทำงานในรูปแบบประจำ ผมต้องไม่มีห่วงด้านอื่น โดยเฉพาะการเงิน ที่จะมาเบียดเบียนงานหลัก และต้องรับในงานที่ต้องทำให้ได้ งานมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่งานสอนอย่างเดียว ยังมีภาระอื่นๆอีก"
.
งานอะไรก็ตาม ก่อนเราจะทำ เราต้องศึกษาข้อมูล ตั้งคำถามกับตนเองให้ดีว่า เราทำได้ไหม รับขอบเขตงาน รายละเอียดงานได้หรือไม่
.
ตกตะกอนได้ดังนั้น ผมก็พิจารณาได้ว่า หลังจากที่ทำงานและธุรกิจส่วนตัวมานับสิบปี ผมสะสมอะไรบางอย่างมาพอควร ทำให้ไม่ต้องไปกดดันว่าจะอยู่ในระบบการทำงานได้ไหม ถ้าไม่ได้ ไม่มีงานทำ จะอดตายหรือเปล่า
.
มันจึงเป็นการทำงานแบบตั้งใจให้ความรู้และสร้างประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และถ้าวันหนึ่งต้องออกจากระบบ ก็แค่มาทำในสิ่งที่ตนเองยังทำได้และทำมาโดยตลอด
"เป็นการทำงานที่สามารถทำได้เต็มที่"
.
ที่สำคัญ การเป็นอาจารย์ตอนนี้ ผมมั่นใจว่า มันคงป้องกันข้อครหาได้อย่างดีทีเดียว ในประเด็น 'เข้าสู่ระบบอาจารย์วงการศึกษา เพื่อหาชื่อเสียงความน่าเชื่อถือและหาผลประโยชน์ใส่ตัว' เพราะผมว่า ในฐานะ อ้ายจง และฐานะ ภากร กัทชลี เอง ผมสร้างมาพอสมควรทีเดียว
.
และตั้งแต่วันสัมภาษณ์เข้าเป็นอาจารย์ที่นี่ ผมเปิดเผยทั้งหมดว่ากำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใครก็ตามเวลาไปทำงานที่ไหน ไม่ใช่แค่งานอาจารย์ ต้องเคารพสถานที่ทำงาน ต้องมีจรรยาบรรณในฐานะคนทำงาน อย่าปกปิดข้อมูลที่มันอาจส่งผลต่อการทำงานที่นั่นได้ เช่น
.
มีงานส่วนตัวอยู่แล้ว ควรบอกไปตรงๆ หากมารู้ทีหลัง มันต้องเกิดข้อครหาแน่ๆ แต่ถ้าเราทำมาก่อน และชี้แจงได้ถึงการไม่ส่งผลกระทบต่อเวลางาน ถ้านายจ้างหรือที่ทำงานรับตรวนี้ได้ มันจะได้เคลียร์ตั้งแต่ต้น
-----
อ่านถึงตรงนี้ เชื่อว่า ยังคงมีคนสงสัย "สรุปแล้ว การทำงานประจำคู่กับงานส่วนตัว มันผิดหรือไม่?"
.
ยุคนี้ ยุควิกฤติเศรษฐกิจที่มาเคาะประตูทุกบ้านทั่วทั้งโลก หากคุณยังไม่มั่นคงทางการเงิน การมีรายได้เข้ามาทางเดียว มันไม่เพียงพอ การทำงานเสริมหรือธุรกิจส่วนตัวควบคู่ไปด้วย จึงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่หลักสำคัญต้องอยู่บนพื้นฐาน
.
'เคารพงานหลัก ไม่เอางานอื่นมาเบียดเบียนขอบเขตงานและขอบเวลางานหลัก รวมทั้งต้องชี้แจงกับต้นสังกัดหลักในการทำงานประจำ-งานหลัก ให้ชัดเจน'
.
อย่างตัวผม ทำงานอาจารย์ประจำ ผมก็ต้องปบ่งเวลาให้ชัด เวลาไหนคืองานประจำ เวลาไหนคือทำงานส่วนตัว เช่น การทำเพจอ้ายจง สื่อออนไลน์และการตลาดจีน ช่วงกลางคืน วันหยุด หรือบางคน มีทีมงานมีหุ้นส่วนดูแลธุรกิจ-งานส่วนตัวแทนพวกเขา ก็ทำได้เช่นกัน
.
ขอบันทึกไว้ว่า ผมเข้าสู่สายงาน 'อาจารย์มหาวิทยาลัย' เพื่อมุ่งหมาย 'สร้างประโยชน์' จากสิ่งที่ผมมี มิใช่ การหาผลประโยชน์อย่างที่อาจเกิดขึ้นบ้างหลายครั้งในวงการศึกษา
.
ภาพประกอบจาก www.pixabay.com
#อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน #ชีวิตในไทย #ชีวิตอาจารย์มหาวิทยาลัย
Search
ชีวิตอาจารย์มหาวิทยาลัย 在 ชีวิตอาจารย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (Live the life. For the great ... 的美食出口停車場
การเป็น อาจารย์ ในสถาบันอุดมศึกษา เป็นอีกอาชีพที่มีเกียรติ เพราะได้ทำคุณประโยชน์ ให้กับประเทศชาติ และสังคมมากมาย มหาวิทยาลัย ขอนแก่น... ... <看更多>