Hearing the Voice of God
“He said, “Go out, and stand on the mountain before Yahweh.” Behold, Yahweh passed by, and a great and strong wind tore the mountains, and broke in pieces the rocks before Yahweh; but Yahweh was not in the wind. After the wind there was an earthquake; but Yahweh was not in the earthquake. After the earthquake a fire passed; but Yahweh was not in the fire. After the fire, there was a still small voice. When Elijah heard it, he wrapped his face in his mantle, went out, and stood in the entrance of the cave. Behold, a voice came to him, and said, “What are you doing here, Elijah?”” (1 Kings 19:11-13 WEB)
When God moves, He does so in great power, but when He speaks to His children, most of the time it is almost like a whisper—you have to really pay attention and listen closely.
Personally when I pray in tongues, I will go on for a while and then pause with my eyes closed to receive any words, Bible verses or mental pictures from the Holy Spirit.
Prayer is not about you just saying words to God. It is a two-way conversation. We are talking to a living God who speaks.
When you pray, expect to hear Him in your spirit.
Since the voice of God is a “still small voice” inside, we have to really tune out all distractions and noise of the world if possible.
Find a quiet place to be with the Lord, speak to Him and just quieten your mind, waiting to receive words, pictures or something else from Him.
One time when I was considering a prayer request for healing from a lady I don’t know, I quieted my mind, prayed in tongues and waited for the Holy Spirit to show me what condition the person had.
In my mind I saw the lady looking down at her tummy frustrated and I sensed her desire for weight loss. I was also shown that there was a problem with her ovaries. That region in her body’s silhouette was highlight in red.
I also received that these two health problems happened due to her pregnancy in the past.
I told the lady what I saw in my mind and she confirmed it to be true. I then proceeded to pray for her healing.
This is an example of the gift of word of knowledge in operation.
See the Holy Spirit as a trustworthy Helper who you can speak with comfortably as a close Friend.
He’s inside you to reveal to you the secret things that God knows.
The next time you pray, expect to hear from Him. He’s always speaking, but you must focus to hear that still small voice.
“The gatekeeper opens the gate for him, and the sheep listen to his voice. He calls his own sheep by name, and leads them out. Whenever he brings out his own sheep, he goes before them, and the sheep follow him, for they know his voice. They will by no means follow a stranger, but will flee from him; for they don’t know the voice of strangers.”” (John 10:3-5 WEB)
How do you recognize the voice of your Good Shepherd and avoid being tricked by the devil’s voice instead?
Jesus will always speak to you in love. The voice is never condemning or angry. When you hear Him, you will always be filled with peace and inward joy. He is the Prince of Peace.
To recognize the voice of Jesus better, you have to familiarize with Him.
Read the four gospels and see how good, gracious, merciful, gentle, kind and loving He is with those who place their faith in Him.
To understand the four gospels better, you must be able to rightly divide the Old Covenant of Law and New Covenant of Grace.
Those four books are like a transition period, Law passing the baton to Grace.
If you aren’t standing on a firm foundational understanding of the New Covenant of Grace yet, you may get fearful or confused by some things that Jesus said which were directed at people who were still under dispensation of Law at that time.
Can I recommend my 4-ebook bundle to you called “Understand the Four Gospels Through the Lens of Grace”?
In it, I teach readers about every miracle, parable and verse in the four gospels.
I believe it will surely transform your understanding of God’s word and be a great blessing to you.
You shall know the truth and it shall surely set you free!
Here’s what a customer, Linda B, said about this ebook bundle: “Well worth the money. Wish I had done it sooner. Wonderful study.”
Get my 4-ebook bundle “Understand the Four Gospels Through the Lens of Grace” here: https://www.miltongoh.net/store/p18/understand-the-four-gospels-through-the-lens-of-grace.html
#UnderstandtheFourGospels #ChristianBook
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「when a stranger calls」的推薦目錄:
- 關於when a stranger calls 在 Milton Goh Blog and Sermon Notes Facebook 的最佳解答
- 關於when a stranger calls 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳貼文
- 關於when a stranger calls 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的精選貼文
- 關於when a stranger calls 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於when a stranger calls 在 大象中醫 Youtube 的最佳貼文
- 關於when a stranger calls 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
when a stranger calls 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳貼文
อืมมม... ผมว่าไอ้หน้ากากที่ฆาตกรไล่เชือดใส่นี่มันดูติงต๊องไปหน่อยนะ แทนที่คนเห็นแล้วจะกลัว ผมว่าคงจะขำกลิ้งมากกว่านะ
อืมมมม... เอาไงดี ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าฆาตกรใส่หน้ากากแบบไหนถึงจะดูน่ากลัว งั้นเอางี้ละกันนะ คุณไปหาหน้ากากมา 7 แบบ แล้วถ่ายฉากเปิดหนังมาให้ผมดูทั้ง 7 แบบเลย ผมจะได้เลือกว่าฆาตกรโรคจิตใน Scream ควรจะเปิดตัวแบบไหนดี
.
ในช่วงยุค 1990's ที่หนังฆาตกรไล่เชือดตกต่ำถึงขีดสุด หลังจากหนังประเภทนี้เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงมาตั้งแต่ปลายยุค 70's จนถึงช่วงยุค 80's ไล่มาตั้งแต่ The Texas Chain Saw Massacre, Halloween, A Nightmare on Elm Street, และ Friday the 13th แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงภาวะล้มเหลวของการขยันสร้างภาคต่อ จากฉายโรงตกต่ำสู่การเป็นหนังแผ่น หนังแนวไล่เชือดเสื่อมความนิยมอย่างรวดเร็วเนื่องจากคุณภาพงานดร็อปลงไปมาก จนกระทั่งปี 1995 มีสคริปต์บทหนังในชื่อ Scary Movie ที่ได้รับอิทธิพลมาจากข่าวฆาตกรต่อเนื่องอันเป็นที่รู้จักในชื่อ เกนส์วิลล์ ริปเปอร์ ซึ่งบุกเข้าบ้านนักศึกษาก่อนจะลงมือฆาตกรรม
.
โดยคนเขียนบทคือ เควิน วิลเลียมสัน ดูข่าวแล้วเกิดความกังวลขึ้นมา ในช่วงโฆษณาคั่นข่าวเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จึงเดินสำรวจในบ้านก่อนจะพบว่าหน้าต่างเปิดอยู่ เขาลังเลว่าตัวเองเป็นคนเปิดหน้าต่างทิ้งไว้หรือเปล่า และคิดว่าตัวเองคงไม่ได้เปิดแน่ ๆ จึงรีบวิ่งเข้าครัวไปหยิบมีดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิท ซึ่งการคุยสายในคืนนั้นมีการหยอกล้อว่านี่เป็นฉากหนึ่งในหนังไล่เชือดที่จังหวะแบบนี้ฆาตกรต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในชั้นล่างแน่ ๆ การแซวเล่นแบบนั้นแทบจะทำให้วิลเลียมสันหลับไม่ลง เขาจึงลุกขึ้นมาจดไอเดียดังกล่าวเป็นฉากเปิดหนังว่าด้วยเรื่องของวัยรุ่นสาวที่บังเอิญอยู่บ้านคนเดียว แล้วได้รับโทรศัพท์ปั่นประสาทก่อนจะถูกทำร้ายโดยฆาตกรสวมหน้ากาก
.
หลังจากนั้น วิลเลียมสัน ก็เอาเวลาไปพัฒนาโปรเจ็คต์บทหนังเรื่อง Teaching Mrs. Tingle ที่เพิ่งจะขายออกหลังจากถูกดองมานาน ด้วยความที่ช่วงนั้นเขาค่อนข้างร้อนเงิน จึงกลับมาเขียนบท Scary Movie ต่อจากเดิม ก่อนจะใช้เวลาเพียง 3 วันในการเขียนบทจนเสร็จ แถมยังเตรียมดราฟต์สำหรับภาคต่ออีก 2 ภาครอไว้เรียบร้อย ด้วยความมั่นใจว่าถ้ามีสตูดิโอไหนซื้อไปยังไงก็ต้องได้ทำภาคต่อแน่นอน ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ที่เขาเลือกจะเขียนบท Scary Movie เพราะเขาชอบหนังแนวไล่เชือดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่วัยเด็ก โดยบทหนังของเขาชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรดาหนังไล่เชือดยอดนิยมในสมัยนั้น ทั้ง Halloween, Friday the 13th, A Nightmare on Elm Street, When a Stranger Calls, และ Prom Night
.
แต่บทหนังที่เขาวาดฝันว่าจะถูกสร้างเป็นไตรภาค ดูจะมีความหวังริบหรี่ตั้งแต่ที่ตัวแทนขายของเขาเตือนว่าคงจะขายยากมาก ๆ เพราะหนังเต็มไปด้วยความรุนแรงและเลือดสาด แต่ดูเหมือนว่าไอเดียจะเข้าท่าอยู่ ทาง Miramax จึงติดต่อขอซื้อไปพร้อมกับแจ้งว่าช่วยลดฉากสยองออกไปสักหน่อย ซึ่งวิลเลียมสันก็ยอมตัดออกแต่โดยดี ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในเวลาต่อมา เวส คราเวน ถูกดึงตัวมาเป็นผู้กำกับ แล้วบอกว่าไม่ต้องตัดอะไรออกทั้งนั้น ซึ่งการมาของ เวส คราเวน ที่ช่ำชองในหนังไล่เชือดจากประสบการณ์สมัยทำ The Hills Have Eyes, The Hills Have Eyes, และ A Nightmare on Elm Street ดูเหมือนจะทำให้ทิศทางของ Scary Movie ชัดเจนมากขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม โปรเจ็คต์หนังไล่เชือดในช่วงปี 1995 ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากนายทุนสักเท่าไร ทั้งทุนสร้างต่ำและได้รับคำวิจารณ์แย่มาต่อเนื่อง จึงทำให้การหาตัวนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมารับบทนำเป็นเรื่องยาก ทีมแคสต์นักแสดงจึงต้องมองหาดาวรุ่งพุ่งแรงสดใหม่ ซึ่งเป้าหมายแรกของพวกเขาที่จะให้มารับบท ซิดนีย์ คือ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ที่ในเวลานั้นยังไม่โด่งดังเท่าไร แต่เธออ่านบทแล้วกลับตอบปฏิเสธที่จะแสดงบทนางเอกของเรื่อง แล้วขอเล่นบท เคซีย์ หญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง
.
ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ เพราะแม้เธอจะปรากฎตัวแค่ประมาณ 10 นาทีแต่กลับเป็นที่จดจำอย่างมาก เหตุผลที่เธอเลือกเล่นบทนี้ก็ถือว่าหลักแหลม เธออ่านบทแล้วคิดถึงหนังแบบ When A Stranger Calls ที่พี่เลี้ยงเด็กถูกคุกคามทางโทรศัพท์จนเกิดอาการหวาดกลัว และเชื่อกันว่าบทนี้ทำให้นึกถึง Psycho ของอัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ที่ถือว่าสดใหม่มากในการกำจัดตัวเดินเรื่องออกไปตั้งแต่ช่วงแรกของหนัง เมื่อบท ซิดนีย์ ยังว่างอยู่ โปรดิวเซอร์อย่าง บ็อบ ไวน์สตีน จึงติดต่อนักแสดงหญิงอีก 2 คนที่เวลานั้นยังไม่ดังเช่นกันคือ รีส วิทเธอร์สปูน และ แคลร์ เดนส์ แต่ทั้งคู่ตอบปฏิเสธ จนกระทั่งบทตกมาเป็นของ เนฟ แคมป์เบลล์ ที่กำลังฮอตจากซีรีส์ Party of Five
.
พอได้นักแสดงเรียบร้อย ปัญหาต่อมาคือการหาหน้ากากสีขาวดูน่ากลัวที่เหมาะสมกับคำบรรยายในบทหนัง ซึ่งบังเอิญว่าระหว่างหาโลเคชั่นถ่ายหนัง ทั้งผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ไปสะดุดตากับหน้ากากชิ้นหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังห้องนอนเด็ก เป็นหน้ากากที่ดูเหมือนได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปภาพ The Scream อันโด่งดังของ เอ็ดเวิร์ด มุงค์ แต่ปัญหาอีกอย่างคือพวกเขาไม่รู้จะตามหาเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างไร จึงเลือกดัดแปลงหน้ากากดังกล่าว(ลอก) ด้วยการขยายช่องดวงตาและปากให้ยาวขึ้น หยิบอัลบั้ม The Wall ของ Pink Floyd และผีในการ์ตูนเรื่อง Betty Boop มาผสมอีกหน่อย จนดูเหมือนคนที่ทั้งร้องไห้และร้องกรี๊ดในเวลาเดียวกัน
.
พอเวส คราเวน เริ่มถ่ายทำฉากแรกก็ถูก บ็อบ ไวน์สตีน เข้ามาก้าวก่ายในฐานะโปรดิวเซอร์ เขาแสดงความกังวลว่าฉากเปิดหนังมันโหดร้ายกับเด็กสาวมากไปไหม, แถมวิกผมที่ใส่ให้ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ก็ไม่โดนใจเอาเสียเลย, ไหนจะเสื้อผ้าของเธอที่น่าจะแซ่บกว่านี้สักหน่อย, และไอ้หน้ากากฆาตกรนี่มันดูติงต๊องมากเลยนะ เอางี้แล้วกัน ลองไปหาหน้ากากมาสัก 7 แบบแล้วถ่ายทำมัน 7 รอบไปเลย
.
แน่นอนว่าการที่คนระดับสูงลงมาวุ่นวายกับกองถ่ายย่อมไม่เป็นที่ปลาบปลื้มสำหรับ เวส คราเวน ผู้ซึ่งหัวเสียอย่างมาก เขาเลือกจะเมินคำขอของไวน์สตีน แล้วถ่ายทำฉากเปิดหนังต่อในแบบที่ตัวเองคิดไว้ แล้วตัดต่อส่งกลับไปให้ไวน์สตีนดูอีกรอบ ซึ่งพอไวน์สตีนดูก็ยอมรับว่าตัวเขาคิดผิดไป แล้วให้อิสระกับเวส คราเวน ทำงานเต็มที่ โดยไม่เข้ามาวุ่นวายอีกเลย ทำให้การถ่ายทำหนังตั้งแต่นั้นราบรื่นจนปิดกองถ่าย
.
แต่ใช่ว่าการเข้ามายุ่งของไวน์สตีน จะมีแต่การตัดสินใจแย่ ๆ เพราะหนึ่งในการตัดสินใจสุดยอดเยี่ยมของไวน์สตีนคือการเปลี่ยนชื่อหนังจาก Scary Movie เป็น Scream โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงฮิตของไมเคิล แจ็คสัน ซึ่งในเวลานั้นทั้งวิลเลียมสันและคราเวน ไม่พอใจชื่อหนังใหม่มาก ๆ และมองว่ามันเป็นชื่อที่โง่เง่าสิ้นคิดเหลือเกิน แต่ภายหลังทั้งคู่ก็ยอมรับว่าการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อหนังเป็นสิ่งที่ดีงามอย่างมาก
.
สุดท้ายหนังถูกวางโปรแกรมฉายในเดือนธันวาคม 5 วันก่อนถึงคริสมาสต์ ซึ่งปกติช่วงนั้นจะเป็นฤดูกาลของหนังครอบครัว แต่ทางสตูดิโอมองต่างออกไปว่าเพราะมีแต่หนังครอบครัวเนี่ยแหละ จึงทำให้คนที่อยากดูหนังสยองขวัญไม่รู้จะดูอะไร ปรากฎว่าทฤษฎีเลือกวันฉายเช่นนี้ทำรายได้เปิดตัวไปเพียง 6.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใกล้เคียงจะเป็นหนังเจ๊งอยู่รอมร่อ แต่ด้วยกระแสปากต่อปาก และคำวิจารณ์อย่างดีจึงทำให้รายได้ในสัปดาห์ต่อมาสูงขึ้น และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะทำรายได้รวมทั้งหมด 103 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างเพียง 14 ล้านเหรียญฯ ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับที่ 15 ของปีในอเมริกาอย่างเหนือความคาดหมาย กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ประสบความสำเร็จของเวส คราเวน
.
อ้างอิง:
https://www.telegraph.co.uk/…/scream-20-wes-craven-kevin-w…/
https://en.wikipedia.org/wiki/Scream_(1996_film)
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
when a stranger calls 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的精選貼文
อืมมม... ผมว่าไอ้หน้ากากที่ฆาตกรไล่เชือดใส่นี่มันดูติงต๊องไปหน่อยนะ แทนที่คนเห็นแล้วจะกลัว ผมว่าคงจะขำกลิ้งมากกว่านะ
อืมมมม... เอาไงดี ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าฆาตกรใส่หน้ากากแบบไหนถึงจะดูน่ากลัว งั้นเอางี้ละกันนะ คุณไปหาหน้ากากมา 7 แบบ แล้วถ่ายฉากเปิดหนังมาให้ผมดูทั้ง 7 แบบเลย ผมจะได้เลือกว่าฆาตกรโรคจิตใน Scream ควรจะเปิดตัวแบบไหนดี
.
ในช่วงยุค 1990's ที่หนังฆาตกรไล่เชือดตกต่ำถึงขีดสุด หลังจากหนังประเภทนี้เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงมาตั้งแต่ปลายยุค 70's จนถึงช่วงยุค 80's ไล่มาตั้งแต่ The Texas Chain Saw Massacre, Halloween, A Nightmare on Elm Street, และ Friday the 13th แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงภาวะล้มเหลวของการขยันสร้างภาคต่อ จากฉายโรงตกต่ำสู่การเป็นหนังแผ่น หนังแนวไล่เชือดเสื่อมความนิยมอย่างรวดเร็วเนื่องจากคุณภาพงานดร็อปลงไปมาก จนกระทั่งปี 1995 มีสคริปต์บทหนังในชื่อ Scary Movie ที่ได้รับอิทธิพลมาจากข่าวฆาตกรต่อเนื่องอันเป็นที่รู้จักในชื่อ เกนส์วิลล์ ริปเปอร์ ซึ่งบุกเข้าบ้านนักศึกษาก่อนจะลงมือฆาตกรรม
.
โดยคนเขียนบทคือ เควิน วิลเลียมสัน ดูข่าวแล้วเกิดความกังวลขึ้นมา ในช่วงโฆษณาคั่นข่าวเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จึงเดินสำรวจในบ้านก่อนจะพบว่าหน้าต่างเปิดอยู่ เขาลังเลว่าตัวเองเป็นคนเปิดหน้าต่างทิ้งไว้หรือเปล่า และคิดว่าตัวเองคงไม่ได้เปิดแน่ ๆ จึงรีบวิ่งเข้าครัวไปหยิบมีดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิท ซึ่งการคุยสายในคืนนั้นมีการหยอกล้อว่านี่เป็นฉากหนึ่งในหนังไล่เชือดที่จังหวะแบบนี้ฆาตกรต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในชั้นล่างแน่ ๆ การแซวเล่นแบบนั้นแทบจะทำให้วิลเลียมสันหลับไม่ลง เขาจึงลุกขึ้นมาจดไอเดียดังกล่าวเป็นฉากเปิดหนังว่าด้วยเรื่องของวัยรุ่นสาวที่บังเอิญอยู่บ้านคนเดียว แล้วได้รับโทรศัพท์ปั่นประสาทก่อนจะถูกทำร้ายโดยฆาตกรสวมหน้ากาก
.
หลังจากนั้น วิลเลียมสัน ก็เอาเวลาไปพัฒนาโปรเจ็คต์บทหนังเรื่อง Teaching Mrs. Tingle ที่เพิ่งจะขายออกหลังจากถูกดองมานาน ด้วยความที่ช่วงนั้นเขาค่อนข้างร้อนเงิน จึงกลับมาเขียนบท Scary Movie ต่อจากเดิม ก่อนจะใช้เวลาเพียง 3 วันในการเขียนบทจนเสร็จ แถมยังเตรียมดราฟต์สำหรับภาคต่ออีก 2 ภาครอไว้เรียบร้อย ด้วยความมั่นใจว่าถ้ามีสตูดิโอไหนซื้อไปยังไงก็ต้องได้ทำภาคต่อแน่นอน ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ที่เขาเลือกจะเขียนบท Scary Movie เพราะเขาชอบหนังแนวไล่เชือดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่วัยเด็ก โดยบทหนังของเขาชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรดาหนังไล่เชือดยอดนิยมในสมัยนั้น ทั้ง Halloween, Friday the 13th, A Nightmare on Elm Street, When a Stranger Calls, และ Prom Night
.
แต่บทหนังที่เขาวาดฝันว่าจะถูกสร้างเป็นไตรภาค ดูจะมีความหวังริบหรี่ตั้งแต่ที่ตัวแทนขายของเขาเตือนว่าคงจะขายยากมาก ๆ เพราะหนังเต็มไปด้วยความรุนแรงและเลือดสาด แต่ดูเหมือนว่าไอเดียจะเข้าท่าอยู่ ทาง Miramax จึงติดต่อขอซื้อไปพร้อมกับแจ้งว่าช่วยลดฉากสยองออกไปสักหน่อย ซึ่งวิลเลียมสันก็ยอมตัดออกแต่โดยดี ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในเวลาต่อมา เวส คราเวน ถูกดึงตัวมาเป็นผู้กำกับ แล้วบอกว่าไม่ต้องตัดอะไรออกทั้งนั้น ซึ่งการมาของ เวส คราเวน ที่ช่ำชองในหนังไล่เชือดจากประสบการณ์สมัยทำ The Hills Have Eyes, The Hills Have Eyes, และ A Nightmare on Elm Street ดูเหมือนจะทำให้ทิศทางของ Scary Movie ชัดเจนมากขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม โปรเจ็คต์หนังไล่เชือดในช่วงปี 1995 ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากนายทุนสักเท่าไร ทั้งทุนสร้างต่ำและได้รับคำวิจารณ์แย่มาต่อเนื่อง จึงทำให้การหาตัวนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมารับบทนำเป็นเรื่องยาก ทีมแคสต์นักแสดงจึงต้องมองหาดาวรุ่งพุ่งแรงสดใหม่ ซึ่งเป้าหมายแรกของพวกเขาที่จะให้มารับบท ซิดนีย์ คือ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ที่ในเวลานั้นยังไม่โด่งดังเท่าไร แต่เธออ่านบทแล้วกลับตอบปฏิเสธที่จะแสดงบทนางเอกของเรื่อง แล้วขอเล่นบท เคซีย์ หญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง
.
ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ เพราะแม้เธอจะปรากฎตัวแค่ประมาณ 10 นาทีแต่กลับเป็นที่จดจำอย่างมาก เหตุผลที่เธอเลือกเล่นบทนี้ก็ถือว่าหลักแหลม เธออ่านบทแล้วคิดถึงหนังแบบ When A Stranger Calls ที่พี่เลี้ยงเด็กถูกคุกคามทางโทรศัพท์จนเกิดอาการหวาดกลัว และเชื่อกันว่าบทนี้ทำให้นึกถึง Psycho ของอัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ที่ถือว่าสดใหม่มากในการกำจัดตัวเดินเรื่องออกไปตั้งแต่ช่วงแรกของหนัง เมื่อบท ซิดนีย์ ยังว่างอยู่ โปรดิวเซอร์อย่าง บ็อบ ไวน์สตีน จึงติดต่อนักแสดงหญิงอีก 2 คนที่เวลานั้นยังไม่ดังเช่นกันคือ รีส วิทเธอร์สปูน และ แคลร์ เดนส์ แต่ทั้งคู่ตอบปฏิเสธ จนกระทั่งบทตกมาเป็นของ เนฟ แคมป์เบลล์ ที่กำลังฮอตจากซีรีส์ Party of Five
.
พอได้นักแสดงเรียบร้อย ปัญหาต่อมาคือการหาหน้ากากสีขาวดูน่ากลัวที่เหมาะสมกับคำบรรยายในบทหนัง ซึ่งบังเอิญว่าระหว่างหาโลเคชั่นถ่ายหนัง ทั้งผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ไปสะดุดตากับหน้ากากชิ้นหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังห้องนอนเด็ก เป็นหน้ากากที่ดูเหมือนได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปภาพ The Scream อันโด่งดังของ เอ็ดเวิร์ด มุงค์ แต่ปัญหาอีกอย่างคือพวกเขาไม่รู้จะตามหาเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างไร จึงเลือกดัดแปลงหน้ากากดังกล่าว(ลอก) ด้วยการขยายช่องดวงตาและปากให้ยาวขึ้น หยิบอัลบั้ม The Wall ของ Pink Floyd และผีในการ์ตูนเรื่อง Betty Boop มาผสมอีกหน่อย จนดูเหมือนคนที่ทั้งร้องไห้และร้องกรี๊ดในเวลาเดียวกัน
.
พอเวส คราเวน เริ่มถ่ายทำฉากแรกก็ถูก บ็อบ ไวน์สตีน เข้ามาก้าวก่ายในฐานะโปรดิวเซอร์ เขาแสดงความกังวลว่าฉากเปิดหนังมันโหดร้ายกับเด็กสาวมากไปไหม, แถมวิกผมที่ใส่ให้ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ก็ไม่โดนใจเอาเสียเลย, ไหนจะเสื้อผ้าของเธอที่น่าจะแซ่บกว่านี้สักหน่อย, และไอ้หน้ากากฆาตกรนี่มันดูติงต๊องมากเลยนะ เอางี้แล้วกัน ลองไปหาหน้ากากมาสัก 7 แบบแล้วถ่ายทำมัน 7 รอบไปเลย
.
แน่นอนว่าการที่คนระดับสูงลงมาวุ่นวายกับกองถ่ายย่อมไม่เป็นที่ปลาบปลื้มสำหรับ เวส คราเวน ผู้ซึ่งหัวเสียอย่างมาก เขาเลือกจะเมินคำขอของไวน์สตีน แล้วถ่ายทำฉากเปิดหนังต่อในแบบที่ตัวเองคิดไว้ แล้วตัดต่อส่งกลับไปให้ไวน์สตีนดูอีกรอบ ซึ่งพอไวน์สตีนดูก็ยอมรับว่าตัวเขาคิดผิดไป แล้วให้อิสระกับเวส คราเวน ทำงานเต็มที่ โดยไม่เข้ามาวุ่นวายอีกเลย ทำให้การถ่ายทำหนังตั้งแต่นั้นราบรื่นจนปิดกองถ่าย
.
แต่ใช่ว่าการเข้ามายุ่งของไวน์สตีน จะมีแต่การตัดสินใจแย่ ๆ เพราะหนึ่งในการตัดสินใจสุดยอดเยี่ยมของไวน์สตีนคือการเปลี่ยนชื่อหนังจาก Scary Movie เป็น Scream โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงฮิตของไมเคิล แจ็คสัน ซึ่งในเวลานั้นทั้งวิลเลียมสันและคราเวน ไม่พอใจชื่อหนังใหม่มาก ๆ และมองว่ามันเป็นชื่อที่โง่เง่าสิ้นคิดเหลือเกิน แต่ภายหลังทั้งคู่ก็ยอมรับว่าการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อหนังเป็นสิ่งที่ดีงามอย่างมาก
.
สุดท้ายหนังถูกวางโปรแกรมฉายในเดือนธันวาคม 5 วันก่อนถึงคริสมาสต์ ซึ่งปกติช่วงนั้นจะเป็นฤดูกาลของหนังครอบครัว แต่ทางสตูดิโอมองต่างออกไปว่าเพราะมีแต่หนังครอบครัวเนี่ยแหละ จึงทำให้คนที่อยากดูหนังสยองขวัญไม่รู้จะดูอะไร ปรากฎว่าทฤษฎีเลือกวันฉายเช่นนี้ทำรายได้เปิดตัวไปเพียง 6.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใกล้เคียงจะเป็นหนังเจ๊งอยู่รอมร่อ แต่ด้วยกระแสปากต่อปาก และคำวิจารณ์อย่างดีจึงทำให้รายได้ในสัปดาห์ต่อมาสูงขึ้น และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะทำรายได้รวมทั้งหมด 103 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างเพียง 14 ล้านเหรียญฯ ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับที่ 15 ของปีในอเมริกาอย่างเหนือความคาดหมาย กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ประสบความสำเร็จของเวส คราเวน
.
อ้างอิง:
https://www.telegraph.co.uk/films/2016/12/22/scream-20-wes-craven-kevin-williamson-tore-slasher-filmapart/
https://en.wikipedia.org/wiki/Scream_(1996_film)
#หนังโปรดของข้าพเจ้า