มหากาพย์ โดริโทส /โดย ลงทุนแมน
ตั้งแต่ลงทุนแมนเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจขนมมา เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่สนุกที่สุด ซึ่งเราจะไม่มีทางเดาได้เลยว่า โดริโทส เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จนกว่าจะอ่านบทความนี้จบ
แนะนำให้อ่านดู รับรองว่าจะวางไม่ลง
หลายคนอาจจะคิดว่า Lay’s, Doritos และ Cheetos คือแบรนด์ขนมอบกรอบที่กำลังแข่งขันกันในหลายประเทศทั่วทุกมุมโลก
แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่แบบนั้นเพราะแบรนด์ทั้งหมดนี้ผลิตมาจากบริษัทเดียวกัน นั่นก็คือ “Frito-Lay”
ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทในเครือ PepsiCo ผู้ผลิตเป๊ปซี่และเครื่องดื่มชื่อดังอีกหลายยี่ห้อ
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น บริษัท Frito-Lay เกิดมาจากการควบรวมกิจการของ 2 บริษัท
บริษัทแรก ชื่อว่า H.W. Lay & Co. ที่มีผลิตภัณฑ์หลักอย่างมันฝรั่งทอดกรอบยี่ห้อ Lay’s
บริษัทที่สอง ชื่อว่า The Frito Co. ที่ใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักของขนมอบกรอบหลากหลายยี่ห้อ
โดยขนม 3 ใน 4 ยี่ห้อที่ขายดีที่สุดของ Frito-Lay
ซึ่งก็ได้แก่ Fritos, Doritos และ Cheetos ล้วนถูกคิดค้นโดยบริษัท The Frito Co.
แล้วจุดเริ่มต้นของขนมอบกรอบเหล่านี้มีเรื่องราวน่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปกว่า 90 ปีก่อน ในช่วงทศวรรษ 1930s ที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา
ครอบครัว Doolin ได้เปิดร้านขายขนมหวานขนาดเล็กที่ชื่อว่า The Highland Park
โดยมีสินค้าหลักคือไอศกรีม ที่ทางร้านซื้อมาจากซัปพลายเออร์ 2 เจ้า
แต่พอเริ่มกิจการได้ไม่นาน เหล่าซัปพลายเออร์ไอศกรีมก็แข่งกันตัดราคาขายเพื่อแย่งชิงลูกค้า ส่งผลให้ไอศกรีมมีคุณภาพลดลง จนทำให้ยอดขายของทางร้านลดลงตามไปด้วยและยังถูกซ้ำเติมด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ของสหรัฐอมริกา
หนึ่งในลูกชายของครอบครัวนี้ที่ชื่อว่า “Charles Elmer Doolin” จึงพยายามคิดหาไอเดียขนมชนิดใหม่ ที่จะช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ของทางร้านได้ แต่ยังคงไม่เจอไอเดียที่เจ๋งมากพอ
Doolin ในวัย 29 ปี จึงตัดสินใจไปทำงานที่บริษัทไอศกรีมชื่อดังซึ่งอยู่อีกเมือง
ระหว่างการเดินทาง เขาก็ได้พบเข้ากับร้านขายขนมอบกรอบในปั๊มน้ำมัน
ที่ตัวขนมมีรสชาติอร่อยจน Doolin ติดใจ เขาจึงเปลี่ยนใจมาทำงานที่ร้านแผงลอยแห่งนี้แทน
เจ้าของร้านแห่งนี้เป็นชาวเม็กซิกัน ขายขนมอบกรอบที่เรียกว่า Corn Chips หรือคือขนมแผ่นทอดกรอบรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าปรุงรสด้วยเกลือ ซึ่งทำมาจากเมล็ดข้าวโพดที่นำมาบดละเอียดจนคล้ายแป้ง
แต่แม้ว่า Corn Chips จะขายดีมาก เจ้าของร้านชาวเม็กซิกันอยากกลับไปสอนฟุตบอลที่ประเทศตัวเองมากกว่า จึงประกาศขายกิจการ
นั่นจึงทำให้ Doolin สนใจซื้อกิจการต่อในทันที แต่เขามีเงินไม่พอ แต่โชคยังดีที่แม่ของเขาก็สนใจ Corn Chips และมองว่าน่าจะขายดี จึงช่วยสนับสนุนเรื่องเงินให้
Doolin ได้ตั้งชื่อกิจการ Corn Chips ของตัวเองว่า “Fritos” ที่แปลว่า ของทอด ในภาษาสเปน
Fritos ได้กลายมาเป็นกิจการใหม่ของครอบครัว Doolin
โดยเริ่มจากผลิตขนมในครัวที่บ้านและออกไปตระเวนเสนอสินค้าให้กับเจ้าของร้านค้า เพื่อให้วางขาย Fritos ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานยากพอควร เพราะในขณะนั้น Corn Chips ไม่ได้มีเพียง Fritos ยี่ห้อเดียว
แต่ก็คงเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ Doolin ติดใจขนมตัวนี้จนต้องขอเข้าไปทำงานด้วย เพราะสูตรขนมนี้มีรสชาติอร่อย ทำให้ขายดีจนผลิตไม่ทัน
และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ Fritos เปลี่ยนจากกิจการขนมทำมือในครอบครัว มาเป็นการผลิตที่เริ่มใช้เครื่องทุ่นแรง โดย Doolin และพี่ชายที่มีความรู้ด้านเครื่องจักรกลอยู่แล้ว ได้ช่วยกันประดิษฐ์เครื่องบดข้าวโพดอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ผลิตขนมได้เร็วกว่าการใช้เครื่องบดมือแบบเดิม
จนมาถึงช่วงทศวรรษ 1950s กิจการ Fritos ขยายการผลิตจากครัวที่บ้านมาสู่โรงงาน 2 แห่ง ที่เมืองดัลลัสและทัลซา ซึ่งได้ต้นแบบมาจากระบบสายพานที่ Henry Ford นำมาใช้ผลิตรถยนต์ รวมไปถึงได้มีไร่ปลูกข้าวโพดเป็นของตัวเอง เพื่อควบคุมคุณภาพวัตถุดิบสำคัญให้มีรสชาติดีที่สุด
ในช่วงเวลานั้นเอง Doolin ก็เริ่มคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่มาเสริม หลังจากลองผิดลองถูกในครัวที่บ้านอยู่สักพัก ก็ได้ออกมาเป็น “Cheetos” ที่ยังคงทำมาจากข้าวโพดเหมือนเดิม แต่ให้รสสัมผัสที่ฟูกว่า และให้รสชาติด้วยชีสแทนเกลือ
โดย Cheetos ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีมาก จน Doolin อยากขยายตลาดไปทั่วประเทศ
แต่ด้วยกำลังการผลิตที่บริษัทมีอยู่ตอนนั้นยังไม่เพียงพอและยังไม่มีช่องทางจัดจำหน่ายรองรับมากพอ Doolin จึงไปขอเป็นพาร์ตเนอร์กับคุณ Herman W. Lay ที่เป็นเจ้าของบริษัท H.W. Lay & Co.
Lay เริ่มขายมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบในช่วงเดียวกับที่ Doolin เริ่มขาย Fritos แต่ Lay ได้ลงทุนซื้อโรงงานและบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อขยายกำลังการผลิตไปก่อนแล้ว จึงมีความพร้อมในด้านที่ Doolin ต้องการพอดี
ความสำเร็จของ Lay ก็ต้องบอกว่ามาจากความสามารถทางธุรกิจของคุณ Herman W. Lay ที่ทำให้มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบธรรมดาโดดเด่นขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการตลาด โดย Lay คือบริษัทขนมอบกรอบแรก ที่ซื้อโฆษณาทางโทรทัศน์และจ้างพรีเซนเตอร์ที่เป็นเซเลบริตีในปี 1944
หรืออย่างการคิดค้นรสชาติที่หลากหลาย อย่างรสบาร์บิคิวที่เริ่มขายช่วงปลายทศวรรษ 1950s และรสซาวร์ครีมและหัวหอมที่เริ่มขายช่วงปลายทศวรรษ 1970s มาจนถึงปัจจุบันที่ได้พัฒนารสชาติไปแล้วมากกว่า 200 รส
หลังจากได้เป็นพาร์ตเนอร์กับ H.W. Lay & Co. แล้ว Cheetos จึงได้เริ่มวางขายไปทั่วประเทศในปี 1948
และความสำเร็จของ Cheetos ก็ได้ทำให้ในปี 1961 บริษัท Fritos และ H.W. Lay & Co. ตัดสินใจควบรวมกิจการกัน และใช้ชื่อใหม่ว่า “Frito-Lay”
ก่อนที่ปี 1965 Frito-Lay จะควบรวมกิจการกับบริษัท Pepsi-Cola ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น PepsiCo ในปัจจุบัน
และนับตั้งแต่นั้นมา Frito-Lay ก็ถือเป็นบริษัทในเครือ PepsiCo นั่นเอง
แต่นอกจากโรงงานผลิตขนมอบกรอบแล้ว Doolin ยังสนใจเปิดร้านอาหารด้วย
ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ Disneyland เพิ่งเริ่มเปิดให้บริการพอดี
Doolin จึงเลือกเปิดร้านอาหารในสถานที่แห่งนี้
ในปี 1955 กิจการร้านอาหารมีชื่อว่า Casa de Fritos จึงเริ่มต้นขึ้น
โดยเน้นขายอาหารแนวฟิวชันเม็กซิกันอเมริกันและมีเมนูที่ใช้ Fritos เป็นส่วนประกอบหลักอยู่ด้วย
ส่วนวัตถุดิบหลักชนิดอื่นอย่างเช่นแป้งตอร์ติยา ทางร้านเลือกซื้อจากบริษัท Alex Foods
อยู่มาวันหนึ่งในปี 1960 พนักงานขายจาก Alex Foods เห็นว่าทางร้านต้องทิ้งแป้งตอร์ติยาที่ไม่สดแล้วในปริมาณมาก
พนักงานขายคนนั้นเลยขอลองเอาแป้งตอร์ติยาเหล่านั้นมาตัดเป็นชิ้นสามเหลี่ยมขนาดพอดีคำ
แล้วนำไปทอด และพอได้ลองชิม ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย
เพราะแป้งตอร์ติยานั้น แม้จะทำมาจากข้าวโพดเหมือนกัน
แต่ถูกนำไปอบมาแล้ว พอนำมาทอดจึงให้รสสัมผัสที่กรอบกว่า Fritos
ร้าน Casa de Fritos จึงนำแป้งตอร์ติยาทอดไปใส่เป็นเมนูประจำ ซึ่งก็ได้รับความนิยมมาก
ซึ่งผู้ที่เล็งเห็นกระแสตอบรับที่ดีนี้ก็คือคุณ “Arch West” ที่เพิ่งเริ่มทำงานเป็นผู้บริหารด้านการตลาด ให้ Fritos ในปีนั้นเอง
และการที่คุณ Arch West ได้มาเจอกับแป้งตอร์ติยาทอดกรอบทรงสามเหลี่ยม ก็ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่ทำให้รายได้ของบริษัท เปลี่ยนจากหลักพันล้านบาทมาเป็นหมื่นล้านบาท
ในตอนนั้นบริษัท Frito-Lay มีสินค้าหลัก 4 ยี่ห้อ นั่นก็คือ Fritos, Cheetos, Ruffles และ Lay’s ที่สร้างรายได้ให้บริษัทราว 4 พันล้านบาทต่อปี
West เล็งเห็นโอกาสในแป้งตอร์ติยาทอดกรอบ ที่น่าจะกลายมาเป็นสินค้าขายดีชนิดใหม่ได้
จึงเสนอไอเดียนี้ให้กับทางบริษัท และตั้งชื่อว่า “Doritos” และเริ่มขายในปี 1966 ด้วยรส Toasted Corn
West ยังสังเกตว่าขนมของ Frito-Lay ในขณะนั้นส่วนใหญ่จะเป็นรสธรรมดา ซึ่งก็คือเกลือและชีส
เขาจึงอยากสร้างความแตกต่างให้กับ Doritos ด้วยการปรุงรส
ไอเดียสุดล้ำที่ West ไปนำเสนอก็คือ Doritos รส Taco หรือ ตาโก
ซึ่งเป็นชื่ออาหารเม็กซิกันชนิดหนึ่ง นั่นจึงทำให้เขาโดนหัวเราะใส่
เพราะทุกคนบอกว่านั่นมันเป็นชนิดอาหาร ไม่ใช่รสชาติ
ซึ่งที่รสตาโกดูเป็นเรื่องตลกในสมัยนั้นก็เพราะว่าเทคโนโลยีด้านรสชาติยังไม่ค่อยก้าวหน้า
คนอเมริกันเพิ่งเริ่มรู้จักขนมอบกรอบอยู่ไม่กี่รสชาติ เช่น รสบาร์บิคิวและซาวร์ครีม
แต่ต้องขอบคุณความไม่ย่อท้อของ West ที่ยังคงผลักดันและหาทางทดลองจนทำให้เกิด Doritos รสตาโกขึ้นมาได้สำเร็จ และกลายมาเป็นรสชาติที่สร้างความตื่นเต้นไปทั่วสหรัฐอเมริกา ทันทีที่เริ่มขายในปี 1967
ซึ่งรสตาโกนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนารสชาติต่อมาของ Doritos อย่างรส Nacho Cheese หรือก็คือ Doritos ซองสีแดงที่เราคุ้นเคย ที่เริ่มผลิตในปี 1972 และกลายเป็นรสชาติเอกลักษณ์ของ Doritos มาจนถึงปัจจุบัน และ Doritos ก็ได้กลายมาเป็นขนมขายดี 3 อันดับแรกของบริษัท Frito-Lay
ปัจจุบัน Frito-Lay มีขนมกว่า 29 ยี่ห้อ ที่สร้างรายได้ต่อปีกว่า 5 แสนล้านบาท
คิดเป็น 25% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท PepsiCo
ก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจากการออกเดินทางของ Doolin ที่ต้องการหาไอเดียพัฒนาแบรนด์ขนมเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว ได้กลายมาเป็นบริษัทเจ้าของขนมอบกรอบอย่าง Frito-Lay ที่ขายดีทั่วทุกมุมโลกและสามารถครองใจผู้บริโภคมาได้อย่างยาวนาน
ปิดท้ายด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ
Cheetos ที่เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1948 แต่รู้หรือไม่ว่ารสชาติที่ขายดีที่สุด ก็คือรส Hot Cheetos
คิดค้นโดยภารโรงที่มีชื่อว่า Richard Martinez
Martinez เป็นชาวเม็กซิกันที่เลิกเรียนต่อตอน ป.4 เพราะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้
เมื่ออายุ 18 ปี เพื่อนของเขาก็ได้ชวนมาทำงานเป็นภารโรงในโรงงานของ Frito-Lay
CEO ของทางบริษัทในขณะนั้น ได้มีนโยบายให้พนักงานทุกคนทำงานเหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าของกิจการซึ่งพอทาง Martinez ปิ๊งไอเดียรส Hot Cheetos ขึ้นมา เขาก็ได้โทรไปหาเลขาฯ CEO
โดย CEO ก็รับฟังแต่โดยดีและก็ได้นำไปพรีเซนต์ให้กับทีมผู้บริหารฟัง
สรุปแล้ว ไอเดียของ Martinez ได้รับผลตอบรับดีถล่มทลาย จนสามารถขยายการผลิตไปได้ ทั่วประเทศ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.businessinsider.com/doritos-are-from-disneyland-garbage-the-surprising-history-2014-5
-https://www.insider.com/fun-facts-about-cheetos-snacks-2020-7
-https://www.insider.com/lays-fun-facts-potato-chips-2018-11
-https://www.mashed.com/233073/the-untold-truth-of-fritos/
-https://www.fritolay.com/about-frito-lay/company-story
-https://en.wikipedia.org/wiki/Frito-Lay#H.W._Lay_&_Company
-https://www.foodbusinessnews.net/articles/17933-snacks-success-helps-offset-beverage-challenges-at-pepsico
taco wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รู้จัก Chick-fil-A ร้านฟาสต์ฟูด ที่ขายดีกว่า Burger King และ KFC ในสหรัฐฯ /โดย ลงทุนแมน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การดูแลสุขภาพเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น
ส่งผลให้ร้านอาหารฟาสต์ฟูด ยอดขายหดตัวลง ไม่เว้นแม้แต่ McDonald’s ที่เป็นเจ้าตลาดนี้
แต่ในสหรัฐอเมริกา กลับมีร้านแซนด์วิชไก่ทอดรายหนึ่ง ชื่อว่า “Chick-fil-A”
กำลังเติบโตอย่างร้อนแรง จนมียอดขายแซงหน้าเชนฟาสต์ฟูดที่คนส่วนใหญ่รู้จัก อย่าง Burger King และ KFC ไปแล้ว
Chick-fil-A ทำอย่างไรถึงขายดี จนเอาชนะคู่แข่งรายใหญ่ๆ ได้?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Chick-fil-A เป็นเชนร้านอาหารฟาสต์ฟูด
ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1946 หรือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว โดยคุณ Samuel Truett Cathy
จริงๆ แล้ว คุณ Cathy เริ่มต้นธุรกิจจากการเปิดร้านอาหารทั่วไป ชื่อว่า Dwarf Grill
แต่ต่อมา เขาได้คิดค้นเมนูแซนด์วิชไก่ทอดขึ้นมา ซึ่งได้รับความนิยมมาก และสามารถเสิร์ฟได้เร็วพอๆ กับร้านฟาสต์ฟูดชื่อดังร้านอื่นๆ
ทำให้ในปี 1967 เขาจึงตัดสินใจรีแบรนด์ร้านใหม่เป็น “Chick-fil-A”
ซึ่งดัดแปลงมาจากคำว่า Chicken Fillet หรือ เนื้อไก่
เพื่อขายอาหารจานด่วน ที่มีแซนด์วิชไก่ทอดเป็นเมนูหลัก โดยเฉพาะ
คุณ Cathy เลือกใช้กลยุทธ์การเปิดร้านในห้างสรรพสินค้าแถบชานเมือง ที่ค่าเช่าไม่แพงมากนัก และผู้บริโภคน่าจะทานอาหารฟาสต์ฟูดบ่อยกว่า
ทำให้ชื่อของ Chick-fil-A เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว จนบริษัทสามารถขยายสาขาไปทั้งในและนอกตัวห้าง ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านมาถึงปัจจุบัน Chick-fil-A มีหน้าร้านอยู่ 2,605 สาขา
ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐฯ
และเริ่มทดลองเปิดสาขาในต่างประเทศบ้าง
เช่น แคนาดา, สหราชอาณาจักร และเปอร์โตริโก
ความน่าสนใจของร้านฟาสต์ฟูดแบรนด์นี้
คือมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 3.5 เท่า ในช่วง 10 ปีหลัง หรือเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี
ซึ่งถือว่าเติบโตได้ดีเลยทีเดียว
ปี 2009 ยอดขายในสหรัฐฯ อยู่ที่ 9.6 หมื่นล้านบาท
ปี 2019 ยอดขายในสหรัฐฯ อยู่ที่ 3.3 แสนล้านบาท
โดยถ้าลองเปรียบเทียบกับยอดขายของเชนร้านฟาสต์ฟูดชื่อดัง ในตลาดสหรัฐฯ
ร้าน McDonald’s 1.2 ล้านล้านบาท
ร้าน Starbucks 6.4 แสนล้านบาท
ร้าน Taco Bell 3.3 แสนล้านบาท
ร้าน Burger King 3.1 แสนล้านบาท
ร้าน Subway 3.0 แสนล้านบาท
ร้าน KFC 1.4 แสนล้านบาท
จะเห็นได้ว่า Chick-fil-A กลายเป็นร้านอาหารจานด่วน ที่มียอดขายสูงเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ
แซงหน้าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่มีลักษณะเมนูใกล้เคียงกันอย่าง Taco Bell, Burger King, Subway และ KFC ไปเรียบร้อยแล้ว
และที่น่าสนใจคือ Chick-fil-A ไม่ได้มีจำนวนร้านมากเท่ารายอื่น
คือมีเพียงประมาณ 2,600 สาขา ซึ่งยังถือว่าน้อย
เมื่อเทียบกับ McDonald’s ที่มีมากถึง หลักหมื่นสาขาในสหรัฐฯ
ทำให้บริษัทมียอดขายเฉลี่ยสูงถึง 126 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งมากสุดในกลุ่มอุตสาหกรรม
ขณะที่ผู้นำตลาดอย่าง McDonald’s มียอดขายเฉลี่ย 84 ล้านบาทต่อสาขา และ Starbucks มียอดขายเฉลี่ย 42 ล้านบาทต่อสาขา
ทำให้หลายคนต่างประเมินว่า บริษัทยังมีโอกาสขยายฐานตลาดได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ในพื้นที่ภูมิภาคอื่นของสหรัฐฯ หรือในต่างประเทศ
รวมทั้งปัจจุบัน ร้าน Chick-fil-A จะปิดให้บริการในวันอาทิตย์ และวันหยุดคริสต์มาส ตามนโยบายที่คุณ Cathy ปลูกฝังเอาไว้ เพื่อให้พนักงานได้หยุดพักผ่อนและไปเข้าโบสถ์
ซึ่งในอนาคต หากร้านเปลี่ยนมาเปิดในวันหยุดเหล่านั้น ก็คาดการณ์ว่าจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงสงสัยกันแล้วว่า
อะไร คือสาเหตุที่ทำให้ ร้าน Chick-fil-A ประสบความสำเร็จ?
ปัจจัยแรก คือ คุณภาพของอาหาร
Chick-fil-A มุ่งเน้นขายเมนูแซนด์วิชไก่ทอดเป็นหลัก
ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาคุณภาพให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้ดีกว่าคู่แข่ง ที่ส่วนใหญ่มีเมนูอาหารแบบหลากหลาย
และที่ผ่านมา Chick-fil-A ยังพยายามแก้ไขจุดอ่อนของฟาสต์ฟูด ที่ถูกมองว่าไม่ดีต่อสุขภาพ
โดยได้วิจัยค้นคว้าเพื่อลดปริมาณไขมันทรานส์ลง และเป็นร้านแรกที่ประกาศว่าใช้ไก่จากฟาร์มเลี้ยงที่ปราศจากสารกระตุ้นหรือยาปฏิชีวนะทั้งหมด ภายในปี 2019
ปัจจัยที่สอง คือ คุณภาพของบริการ
จากผลสำรวจความพึงพอใจลูกค้าในสหรัฐฯ ต่อแบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟูด
ปรากฏว่า Chick-fil-A ได้คะแนนอันดับ 1 มาต่อเนื่องถึง 6 ปี
โดยร้านมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการบริการด้วยความสุภาพและรวดเร็ว
เนื่องมาจาก บริษัทมีเกณฑ์คัดเลือกผู้ขอรับสิทธิ์แฟรนไชส์ที่ค่อนข้างเข้มงวด
โดยแต่ละปีมีผู้ได้รับเลือกแค่ราว 100 คน จากผู้สมัคร 60,000 คน ซึ่งกำหนดให้บริหารได้แค่คนละสาขา และต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างหนัก เพื่อให้ได้คนที่ต้องการดูแลธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่แค่ลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทน
ด้วยเหตุนี้ Chick-fil-A จึงกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญในธุรกิจฟาสต์ฟูดในสหรัฐอเมริกา จนบรรดาร้านเจ้าตลาดเดิมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยต่อไปได้
โดย McDonald’s ประกาศเตรียมเปิดตัวแซนด์วิชไก่ทอดพร้อมกันถึง 3 เมนู ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดกลับมาจาก Chick-fil-A ส่วนทางด้าน Burger King และ KFC ก็ได้เริ่มทดลองวางขายเมนูแซนวิชด์ไก่ทอด เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ หลายคนอาจมองว่า การสร้างตัวตนในธุรกิจที่เป็นขาลง และมียักษ์ใหญ่ครองตลาดอยู่ อย่างธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟูด คงเป็นเรื่องยากมาก
แต่ Chick-fil-A ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันเป็นไปได้
และในบางครั้ง เราไม่จำเป็นต้องเก่งในทุกด้าน
ขอเพียงแค่หาความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวให้เจอ และพัฒนาสิ่งนั้นให้แข็งแกร่ง
สุดท้าย มันก็อาจทำให้เราประสบความสำเร็จได้
เหมือนกับที่ Chick-fil-A ร้านที่เน้นขายแซนด์วิชไก่ทอด
จนตอนนี้ สามารถสร้างยอดขายได้ดีกว่าผู้เล่นรายสำคัญในตลาด อย่าง Burger King และ KFC ในสหรัฐฯ ไปแล้ว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://en.wikipedia.org/wiki/Chick-fil-A
-https://www.indigo9digital.com/blog/chickfilakeystosuccess
-https://www.businessinsider.com/chick-fil-a-fast-food-domination-explained-charts-2019-8
-https://www.visualcapitalist.com/top-50-fast-food-chains-ranked/
-https://www.businessinsider.com/mcdonalds-chick-fil-a-in-2021-chicken-sandwich-war-2020-12
taco wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
กรณีศึกษา Pizza Hut กับ The Pizza Company จากพันธมิตร สู่คู่แข่ง /โดย ลงทุนแมน
พิซซ่าฮัท (Pizza Hut) กับ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company)
พิซซ่าสองแบรนด์นี้ คงเป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนไทยมานาน
รู้ไหมว่า เดอะ พิซซ่า คอมปะนี
คือแบรนด์ที่แยกออกมาจาก พิซซ่าฮัท
โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากความขัดแย้ง
เรื่องเป็นอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
พิซซ่าฮัท ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2501
โดยสองพี่น้อง แฟรงก์ และ แดน คาร์นีย์ ที่รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา
ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี พิซซ่าฮัท สามารถขยายสาขาเพิ่มได้ถึง 6 สาขา
การเติบโตที่ค่อนข้างรวดเร็ว ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจเริ่มนำระบบแฟรนส์ไชส์มาใช้ในปีต่อมา
โดยสองพี่น้อง จะเป็นผู้อบรมวิธีการบริหารร้านพิซซ่าให้แก่ผู้ซื้อแฟรนส์ไชส์ในเวลานั้นด้วยตนเอง
ในปี พ.ศ. 2511 หรือ 10 ปีหลังจากก่อตั้ง พิซซ่าฮัท เริ่มขยายสาขาไปต่างประเทศครั้งแรก โดยเริ่มต้นที่ประเทศแคนาดา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 เป๊ปซี่ โค อิงค์ ก็ได้เข้าซื้อกิจการพิซซ่าฮัทจากสองพี่น้องคาร์นีย์ และทำการขยายสาขาของพิซซ่าฮัทไปในอีกหลายประเทศทั่วโลก
ต่อมา เป๊ปซี่ โค อิงค์ ได้ตั้งบริษัทชื่อ Tricon Global Restaurants เพื่อมาเป็นผู้บริหารกลุ่มธุรกิจอาหารของเป๊ปซี่ โค อิงค์ รวมถึงพิซซ่าฮัทด้วย
ซึ่งปัจจุบัน Tricon Global Restaurants ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท Yum! Brands, Inc บริษัทเจ้าของแบรนด์อาหารรายใหญ่ของโลก (เช่น KFC, Pizza Hut, Taco Bell)
ในส่วนของพิซซ่าฮัท ปัจจุบัน มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลกจำนวน 18,703 สาขา ด้วยจำนวนสาขามากขนาดนี้ ทำให้พิซซ่าฮัท เป็นแบรนด์ร้านพิซซ่าที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลก
พิซซ่าฮัทเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรก โดยนักธุรกิจชาวอเมริกัน สัญชาติไทย ที่ชื่อว่าคุณ “William E. Heinecke”
หลายคนคงคุ้นเคยชื่อนี้กันดีอยู่แล้ว
เพราะคุณ William E. Heinecke ก็คือ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
หรือที่นักลงทุนในตลาดหุ้นรู้จักกันในชื่อหุ้น MINT นั่นเอง
ปี พ.ศ. 2523 คุณ William ได้สิทธิ์มาสเตอร์ แฟรนไชส์ ในประเทศไทยของพิซซ่าฮัท และได้เปิดร้านพิซซ่าฮัทสาขาแรกที่พัทยา จังหวัดชลบุรี
ซึ่งเหตุผลที่เลือกพัทยาก่อน เพราะตอนนั้นคุณ William มองว่ามีทหารอเมริกันเข้ามาอาศัยอยู่กันมากเนื่องจากอยู่ในช่วงสงครามเวียดนาม
ผลคือ คุณ William คิดถูกจริงๆ
เพราะพิซซ่าฮัทสาขาแรก ได้การตอบรับเป็นอย่างดี
ทำให้เขาตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อ Tricon Global Restaurants เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์พิซซ่าฮัท เห็นว่าธุรกิจร้านพิซซ่าฮัทในประเทศไทยกำลังไปได้สวย Tricon จึงต้องการเอาพิซซ่าฮัท มาบริหารเอง
เรื่องนี้ถึงขนาดนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีความ ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ที่ได้ครอบครองแบรนด์พิซซ่าฮัทในประเทศไทย ก็คือ Tricon Global Restaurants
เมื่อไม่สามารถเป็นเจ้าของพิซซ่าฮัทต่อไปได้ บริษัทไมเนอร์ของคุณ William ก็เลยปั้นแบรนด์พิซซ่าแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเองเสียเลย
โดยใช้ชื่อว่า “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” และเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544
ซึ่งตอนนั้นหลายคนคิดว่าทุกคนจะหันไปทานพิซซ่าฮัท แต่จริงๆ แล้วทางไมเนอร์มีข้อได้เปรียบคือมีหน้าร้านของเดิมอยู่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนป้ายจากแบรนด์พิซซ่าฮัท เป็น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ได้ทันที
ในทางกลับกัน พิซซ่าฮัท ต้องมานั่งเปิดสาขาเองใหม่ทั้งหมด ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการนานมาก
และนั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของสงครามพิซซ่า ระหว่าง 2 ค่าย นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบัน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี มีจำนวนสาขาในประเทศไทยกว่า 532 สาขา และยังมีแฟรนไชส์อยู่ในต่างประเทศ เช่น คูเวต, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซาอุดีอาระเบีย, จีน, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา
โดยผลประกอบการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี
พ.ศ. 2561 รายได้ 5,657 ล้านบาท กำไร 356 ล้านบาท
พ.ศ. 2562 รายได้ 6,072 ล้านบาท กำไร 269 ล้านบาท
ซึ่งต้องหมายเหตุว่า รายได้ของ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป มาจากแบรนด์อาหารหลากหลายแบรนด์นอกเหนือไปจาก เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เช่น Bonchon, Sizzler, Swensen’s
ในส่วนพิซซ่าฮัท ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่แต่เดิมคือ Tricon Global Restaurants ที่ชนะคดีเครือไมเนอร์ ก็ได้ขายกิจการพิซซ่าฮัทในไทยให้แก่ บริษัท พีเอชแคปปิตอล จำกัด
ซึ่ง บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด เป็นบริษัทในเครือของบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA
โดยปัจจุบัน บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด คือ บริษัทที่บริหารจัดการกิจการและให้สิทธิ์แฟรนไชส์ ร้านพิซซ่าฮัท ทุกสาขาในประเทศไทย
ผลประกอบการของ บริษัท พีเอชแคปปิตอล จำกัด
ปี พ.ศ. 2561 รายได้ 1,719 ล้านบาท ขาดทุน 29 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2562 รายได้ 1,903 ล้านบาท กำไร 13 ล้านบาท
โดยบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด มองว่า ธุรกิจพิซซ่ายังมีโอกาสเติบโตอีกพอสมควร โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ยังมีสาขาพิซซ่าฮัท อยู่จำนวนไม่มากนัก
อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะได้รู้กันแล้ว
ว่าพิซซ่าสองแบรนด์ที่เราคุ้นเคยนี้เกิดมาจากความขัดแย้ง
และความขัดแย้งนั้น ก็ทำให้เกิดแบรนด์ใหม่ขึ้นมาอีกแบรนด์หนึ่ง
ย้อนกลับไปที่จุดนั้น
ถ้าถามว่าในวันนั้น Tricon และไมเนอร์ เลือกที่จะเป็นมิตรกัน แทนที่จะเป็นศัตรูกัน
ก็น่าคิดว่า ในวันนี้ตลาดพิซซ่าในประเทศไทย จะเป็นอย่างไร..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-แบบ 56-1 ปี 2562, บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Pizza_Hut
-https://en.wikipedia.org/wiki/Yum!_Brands
-https://en.wikipedia.org/wiki/The_Pizza_Company
-แบบ 56-1 ปี 2562, บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน)
-https://www.thaipost.net/main/detail/12280
-https://www.puretravel.com/blog/2020/04/06/who-eats-the-most-pizza-in-the-world-the-answer-may-surprise-you/
-https://www.innovatravelperu.com/top-10-countries-where-we-eat-the-most-pizzas/
-http://www.thaismescenter.com
taco wiki 在 Taco - Puttin' On The Ritz (ZDF Silvester-Tanzparty, 31.12.1983) 的美食出口停車場
Taco performing "Puttin' On The Ritz" on German TV show "ZDF Silvester-Tanzparty" at the New Years Eve TV Show in 1983. ... <看更多>
taco wiki 在 Taco.Wiki - La guía definitiva - Facebook 的美食出口停車場
See More About Taco.Wiki - La guía definitiva · YOUTUBE.COM · Delicious Tacos Mexican Street Food #shorts #tacos ·... ... <看更多>