สรุปโอกาสและการลงทุนบน LiVE Exchange ตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs และ Startups
จากงาน LiVE Demo Day: The New Road to Capital Market
14 กันยายน 2564 ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. และองค์กรพันธมิตรอีกกว่า 25 ราย จัดงาน “LiVE Demo Day: The New Road to Capital Market”
โดยถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “LiVE Platform” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับให้ธุรกิจ SMEs และ Startups ได้เข้ามาเรียนรู้ และเตรียมความพร้อมสู่การระดมทุนผ่านกลไกตลาดทุน
และอีกหนึ่งส่วนที่น่าสนใจมากก็คือ “LiVE Exchange” ที่จะเป็นตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs และ Startups ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการภายในปี 2021 นี้แล้ว
LiVE Exchange ตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs และ Startups มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
ด้วยแนวคิดที่ต้องการให้ SMEs และ Startups สามารถเข้าถึงแหล่งระดมเงินทุน ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ สำนักงาน ก.ล.ต. จึงมีการพัฒนากระดานซื้อขายใหม่ที่ชื่อว่า LiVE Exchange ขึ้นมา
โดยมีจุดประสงค์ก็เพื่อ ลดกฎเกณฑ์บางอย่างลง ให้ SMEs และ Startups สามารถเข้าถึงการระดมทุนผ่านกลไกตลาดทุนได้ง่ายขึ้น ภายใต้แนวคิด “Light Touch Supervision”
ซึ่งสำหรับบริษัท SMEs และ Startups ที่ต้องการจะเข้ามาระดมทุนใน LiVE Exchange ทางสำนักงาน ก.ล.ต. ก็ได้กำหนดคุณสมบัติหลัก ๆ เอาไว้ว่า
1. ต้องเป็นบริษัทมหาชน และประกอบกิจการธุรกิจในบริษัท ไม่ใช่บริษัท Investment Company ที่เน้นไปลงทุนในบริษัทอื่น
2. บริษัทต้องไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย
3. กรรมการและผู้บริหารของบริษัท ต้องไม่อยู่ใน Blacklist หรือมีประวัติทำผิดกฎหมาย
4. บริษัทต้องมีมูลค่าระดมทุน 10 ล้านบาทขึ้นไป และต้องระดมทุนได้ 80% ของมูลค่าระดมทุนที่ตั้งไว้
5. หลังจากบริษัทเสนอขายหุ้นต่อนักลงทุนทั่วไปแล้ว ต้องเข้าจดทะเบียนบน LiVE Exchange
ส่วนทางฝั่งตลาดหลักทรัพย์ฯ เน้นเรื่องความพร้อมของตัวธุรกิจเป็นหลักสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย ความพร้อมในเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของตลาดทุน และความพร้อมในด้านธุรกิจของตนเอง
ทำให้บริษัทที่จะเข้ามาระดมทุนได้ จึงจำเป็นต้องผ่านการอบรมหลักสูตรเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดทุนเสียก่อน
ในเรื่องความพร้อมด้านธุรกิจ ของทางฝั่ง SMEs ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้เกณฑ์รายได้ของธุรกิจมาเป็นตัวกำหนด
- ภาคบริการ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 50 ล้านบาท
- ภาคการผลิต ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 100 ล้านบาท
ส่วนทางฝั่ง Startups ที่อาจจะมีรายได้ยังไม่มาก หรือค่อนข้างผันผวน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีเกณฑ์อื่นมาพิจารณา
คือหาก Startups ใดที่มี Private Equity หรือ Venture Capital เข้ามาลงทุนอยู่ก่อนแล้ว ก็จะสามารถเข้าระดมทุนผ่าน LiVE Exchange ได้
นอกจากนั้นแล้ว เพื่อให้ SMEs และ Startups สามารถเข้าระดมทุนผ่าน LiVE Exchange ได้ง่ายขึ้น
ทาง ก.ล.ต. จึงผ่อนผันอนุญาต ให้บริษัทแต่ละรายไม่จำเป็นต้องยื่นคำขออนุญาตจาก ก.ล.ต. และไม่จำเป็นต้องมีที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ Financial Advisor (FA)
เพียงแต่ต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญ สำหรับให้นักลงทุนใช้พิจารณาประกอบการลงทุนได้
ซึ่งจะมีเนื้อหาหลัก ๆ อยู่ 4 ส่วนคือ
1. ลักษณะการประกอบธุรกิจ
2. ความเสี่ยงของธุรกิจ
3. งบแสดงฐานะการเงิน
4. รายละเอียดผู้บริหาร
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้พัฒนาระบบกระบวนการดิจิทัล เพื่อรองรับการระดมทุน การเสนอขาย ไปจนถึงการจดทะเบียน ที่ทำได้ครบจบบนช่องทางดิจิทัล
มีการพัฒนาระบบ SME Filing ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการประกอบการตัดสินใจให้กับผู้ลงทุน มีระบบจัดการข้อมูลที่เป็นระเบียบ สามารถจัดหมวดหมู่และแสดงผล ให้ผู้ลงทุนสามารถดูรายละเอียดของแต่ละบริษัทได้ง่าย เช่น ข้อมูลงบการเงิน ข่าวสารของบริษัท
พร้อมจัดทำระบบ Crowd Opinion ผ่านเว็บไซต์
ซึ่งจะเป็นช่องทางที่ให้ผู้ลงทุนสามารถสอบถามข้อมูลหรือข้อสงสัยไปยัง SMEs และ Startups หรือ ก.ล.ต. ได้ เรียกได้ว่าเป็น Two-way Communication ระหว่างนักลงทุนกับผู้ประกอบการนั่นเอง
คราวนี้มาดูในฝั่งของผู้ลงทุนกันบ้าง
ในเบื้องต้น ทาง ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้ผู้ลงทุน 3 ประเภท ที่มีความรู้ความเข้าใจ และรับความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจ SMEs และ Startups สามารถลงทุนในกระดาน LiVE Exchange ได้ ประกอบด้วย
1. กลุ่มนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น สถาบันการเงิน, Private Equity หรือ Venture Capital และบรรดา Angel Investor
2. กลุ่มผู้ลงทุนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการลงทุนและมีทรัพย์สินในระดับหนึ่ง ที่ทาง ก.ล.ต. พิจารณาเห็นสมควรแล้วว่าสามารถลงทุนใน LiVE Exchange ได้
3. กลุ่มคนที่คุ้นเคยกับกิจการ ตั้งแต่ตำแหน่งสูงสุดอย่าง ผู้บริหารและกรรมการ จนถึงตำแหน่งพนักงานทั่วไป
สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์จากตลาดหลักทรัพย์ฯ และสนใจลงทุนบริษัทต่าง ๆ บน LiVE Exchange
สามารถติดต่อผ่านบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ได้โดยตรง ซึ่งขณะนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ที่แสดงความสนใจเข้าร่วมแล้ว 25 ราย
สำหรับการเปิดบัญชีสำหรับซื้อขายหลักทรัพย์จะไม่แตกต่างจาก SET และ mai แต่รูปแบบการซื้อขายจะมีความแตกต่างกัน ในเบื้องต้นรายละเอียดคือ
1. เป็นการซื้อขายแบบ “Prepaid” คือฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องมีหุ้นและเงินในบัญชีก่อน ถึงจะสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้
2. LiVE Exchange ในช่วงแรก จะเปิดให้ซื้อขายเพียงวันละ 1 รอบ ในเวลา 09.30-11.00 น. ในรูปแบบ Auction
3. เป็นการชำระราคาและส่งมอบภายในวันนั้น (T) ทันที ซึ่งแตกต่างจาก SET และ mai ที่มีการชำระราคาและส่งมอบ T+2
โดยนักลงทุนสามารถสั่งซื้อขายได้ทั้งผ่านโบรกเกอร์ที่ใช้บริการ หรือผ่านระบบ Internet Trading เช่นเดียวกับซื้อขายหุ้นบน SET และ mai
ซึ่งโอกาสสำคัญ สำหรับเหล่านักลงทุนที่ใช้ LiVE Exchange
คือสามารถเป็นเจ้าของบริษัทที่ชื่นชอบ ได้ตั้งแต่ช่วงที่ธุรกิจยังมีขนาดเล็ก ซึ่งมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว ต่างจาก SET และ mai ที่หลายบริษัทอาจจะใหญ่โตมากแล้ว
แต่อย่างที่เรารู้กันก็คือ “โอกาสมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงอยู่เสมอ” เนื่องจากธุรกิจระดับ SMEs และ Startups ยังถือว่ามีปัจจัยท้าทายอยู่มากพอสมควร
และอีกประเด็นคือ เนื่องจากบริษัทบน LiVE Exchange สามารถซื้อขายได้เพียงวันละ 1 รอบ และสภาพคล่องอาจไม่สูงเหมือนตลาดใหญ่อย่าง SET และ mai
ฉะนั้นนักลงทุนที่จะลงทุนใน LiVE Exchange จึงควรมองภาพการลงทุนในระยะยาว
ทั้งนี้กฎเกณฑ์และระบบต่าง ๆ ของ LiVE Exchange คาดว่าจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในปลายปีนี้ และคาดว่าในช่วงต้นปีหน้า นักลงทุนจะสามารถเริ่มทำการซื้อขายหุ้นบนกระดาน LiVE Exchange ได้
นอกจากนั้น ภายในงานยังมี เวทีนำเสนอธุรกิจ “SMEs-Startups Showcase” ที่ให้บรรดาผู้ประกอบการ 21 บริษัท จากโครงการ LiVE Acceleration Program รุ่นที่ 1 ได้มาร่วมนำเสนอเป้าหมายการเติบโต และแผนการระดมทุนในอนาคตให้นักลงทุนได้รับชม
ประกอบไปด้วยบริษัทจาก 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ Wellness & Recreation, Healthy Food & Food Supply Chain, Digital Platform & E-commerce, Smart Living & Smart City และ EV & Green Energy
ซึ่งนักลงทุนท่านไหน หรือใครที่สนใจว่ามีธุรกิจอะไรบ้าง และแต่ละธุรกิจมีโมเดลธุรกิจอย่างไร มีแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคตอย่างไร ก็สามารถเข้าไปรับชมย้อนหลังกันได้ในช่องทาง Facebook LiVE Platform
ทั้งหมดนี้ก็คือ รายละเอียดกฎเกณฑ์ และความน่าสนใจ ของ “LiVE Exchange”
ที่จะเข้ามาช่วยให้ SMEs และ Startups เข้าสู่การระดมทุนด้วยกลไกตลาดทุนได้สะดวกขึ้น และเสริมพลังสร้างการเติบโตในอนาคตต่อไป
และก็ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการลงทุนที่น่าสนใจ
สำหรับนักลงทุนที่สนใจ และอยากลงทุนในธุรกิจ SMEs และ Startups สามารถติดตามข้อมูลกันได้ที่เว็บไซต์ www.live-platforms.com และ Facebook LiVE Platform
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過18萬的網紅MONEY HERO,也在其Youtube影片中提到,*** ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง OR ขาย IPO 3 พันล้านหุ้น รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า เมื่อวันที...
set กล ต 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สรุปประเด็นจากงาน LiVE Demo Day - โอกาสใหม่ของ SMEs และ Startups บนเส้นทางตลาดทุน
รู้ไหมว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี SMEs และ Startups รวมกันแล้วมากกว่า 3 ล้านราย
ก่อให้เกิดการจ้างงานถึง 13 ล้านคน และสร้างมูลค่าถึง 1 ใน 3 ของ GDP ประเทศไทย
ซึ่งนับว่า ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง เป็นกลไกที่สำคัญของเศรษฐกิจประเทศไทย เลยทีเดียว
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจ SMEs และ Startups เหล่านี้ ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอยู่มาก ทำให้ต้องอาศัยการกู้สถาบันการเงินหรือแหล่งเงินนอกระบบที่ให้วงเงินต่ำแต่ดอกเบี้ยสูง ซึ่งส่งผลให้บริษัทกลุ่มนี้เติบโตได้ลำบาก
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้น ให้ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พัฒนา “LiVE Exchange” ซึ่งทำหน้าที่เป็นตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs และ Startups ที่ระดมทุนในวงกว้าง
และ “LiVE Platform” ที่ทำหน้าที่เป็น Education Platform ให้เหล่าผู้ประกอบการเริ่มต้นเข้ามาศึกษาหาความรู้ด้านธุรกิจและเตรียมความพร้อมในการระดมทุน
โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยให้ธุรกิจ SMEs และ Startups มีช่องทางการระดมทุนใหม่ ผ่านกลไกตลาดทุน และเป็นตัวช่วยในการเตรียมความพร้อมพัฒนาธุรกิจอย่างรอบด้าน ให้กับทั้งผู้ประกอบการ SMEs และ Startups
แล้วรายละเอียดของ “LiVE Exchange” และ “LiVE Platform” เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปจากงาน LiVE Demo Day ให้ฟัง
หลายคนทราบกันดีว่า การที่จะนำบริษัทไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ว่าจะเป็นบนกระดาน SET หรือ mai นั้นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ใช้ทุนทรัพย์สูง และต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ หลายขั้นตอน
ทำให้การระดมทุนผ่านตลาดทุนนั้นกลายเป็นเรื่องยากสำหรับหลายบริษัท โดยเฉพาะบริษัทระดับ SMEs และ Startups
เพราะต้องบอกว่า ถึงแม้ว่าจะมีกระดาน mai ขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่ามีกฎเกณฑ์สำหรับเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ยากเกินไปสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
เช่น บริษัทต้องทำบัญชีตามมาตรฐาน PAEs เป็นระยะเวลา 3 ปีติดต่อกัน ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาทขึ้นไป และต้องมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
กฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเท่านั้น แต่ต้องใช้ระยะเวลาทำธุรกิจพอสมควร อย่างน้อย 4 ปีขึ้นไป จึงจะสามารถเข้าระดมทุนตามกฎเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายที่สูง
อย่างการทำบัญชีตามมาตรฐาน PAEs บริษัทต้องจ้างผู้ตรวจสอบบัญชี ปีละ 1-2 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาทางการเงินอีก 5 ล้านบาท ผู้จัดจําหน่ายหลักทรัพย์เก็บอีก 3% ของเงินที่ระดมทุน คิดรวมแล้วมีค่าใช้จ่ายจะถึง 10 กว่าล้านบาทเลยทีเดียว
จากเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จำเป็นต้องพัฒนาแหล่งระดมทุนกระดานใหม่ขึ้นมา ที่มีชื่อเรียกว่า LiVE Exchange ซึ่งจะลดกฎเกณฑ์ ผ่อนปรนข้อกำหนดบางอย่างลง บนการดูแลนักลงทุนที่เหมาะสม
เช่น
- จากต้องทำบัญชีตามมาตรฐาน PAEs ถึง 3 ปี เหลือเพียงแค่ 1 ปี
- บริษัทมีทางเลือกว่าจะจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน Financial Advisor (FA) หรือไม่ก็ได้
เพื่อให้ SMEs และ Startups สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบตลาดทุนได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พบปัญหาอีกว่า
บรรดาบริษัทขนาดเล็ก ยังขาดความรู้ ความเข้าใจ และความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านการทำระบบบัญชีให้เป็นมาตรฐาน ความรู้ด้านกฎหมาย การจัดการระบบข้อมูลในองค์กร
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้เกิด “LiVE Platform”
โดย LiVE Platform ทำหน้าที่เป็น Education Platform ให้เหล่าผู้ประกอบการเริ่มต้นเข้ามาศึกษาหาความรู้ด้านธุรกิจ ตั้งแต่การทำบัญชีการเงิน การตลาด การจัดการ จนไปถึงการระดมทุน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลากหลายหลักสูตร และเปิดให้บริการเรียบร้อยแล้ว บนเว็บไซต์ https://www.live-platforms.com
และเมื่อบริษัทมีความต้องการในการเข้าระดมทุน ก็สามารถเข้าสู่ “Scaling Up Platform” ซึ่งเป็นโปรแกรมการเตรียมธุรกิจให้พร้อมสำหรับการระดมทุน โดยมี 4 กระบวนการที่คอยช่วยเหลือคือ
1. Advanced Courses หรือหลักสูตรอบรมเชิงลึกจากบริษัทที่เชี่ยวชาญ
เช่น เรื่องของบัญชี ก็จะได้ PwC หนึ่งใน Big 4 หรือบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ระดับโลก เข้ามาแนะนำและให้ความรู้โดยตรง หรืออยากรู้เรื่องกฎหมาย ก็มี Baker McKenzie มาทำหลักสูตรให้
2. สนับสนุนเครื่องมือและระบบต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจ
เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมากยิ่งขึ้น
เช่น บัญชี การควบคุมภายใน ระบบ ERP Back Office HR และอื่น ๆ อีกมากมาย
3. ให้คำปรึกษาต่าง ๆ ผ่านโครงการและแพลตฟอร์มต่าง ๆ
อย่างเช่น LiVE Acceleration Program โครงการที่ให้เหล่าธุรกิจเข้าร่วม เพื่อรับการอบรมเชิงปฏิบัติการ และรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงได้เงินทุนสนับสนุนสูงสุด 1.5 ล้านบาทต่อบริษัท จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เพื่อจ้างที่ปรึกษาหรือปรับปรุงระบบงาน
โดยตัวอย่างบริษัทที่เคยเข้าร่วมคือ “Specialty Natural Products (SNP)” ซึ่งเป็น SMEs ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมจากสมุนไพรไทย
และ “Shippop” ซึ่งเป็น Startups ผู้ให้บริการจองขนส่ง เทียบราคาขนส่ง และจัดการการขนส่งพัสดุออนไลน์ครบวงจร
ผู้ประกอบการจากทั้งสองบริษัทเล่าให้ฟังว่า หลังจากเข้าร่วม LiVE Acceleration Program ก็ไม่เพียงแต่ได้รับความรู้และเงินสนับสนุนในการเตรียมความพร้อมเท่านั้น แต่ยังได้พันธมิตรมาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจตนเองด้วย
4. สนับสนุนการพบปะเจรจากับผู้บริหารบริษัทรุ่นใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว เพื่อเปิดโอกาสในการต่อยอดธุรกิจร่วมกัน หรือสร้างความร่วมมือด้วยกัน
นอกจากนี้ LiVE Platform ยังได้ร่วมมือกับอีกหลายหน่วยงาน
เช่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ได้ทำ MOU ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัวโครงการ Embryo Incubation Program ที่ช่วยให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการระดมทุนใน LiVE Exchange
นอกจากนั้นยังมีการร่วมมือกับอีกหลายองค์กรพันธมิตร ทั้งจากภาครัฐและเอกชน มากกว่า 25 ราย
เช่น สภาวิชาชีพบัญชีฯ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย Baker Mckenzie และองค์กรชั้นนำอื่น ๆ อีกมากมาย
อีกเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ บริการทั้งหมดบนเว็บไซต์ LiVE Platform นั้น “ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น”
เมื่อธุรกิจ SMEs และ Startups เตรียมความพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว และต้องการระดมทุนผ่านกลไกตลาดทุน ก็จะถูกส่งต่อไปที่ LiVE Exchange ตลาดสำหรับ SMEs และ Startups เพื่อระดมทุนในวงกว้าง ซึ่งจะเปิดให้บริการภายในปี 2021 นี้
ในเบื้องต้น ทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้นักลงทุน 5 ประเภท ที่มีความรู้ความเข้าใจ และรับความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจ SMEs และ Startups สามารถลงทุนในกระดาน LiVE Exchange ได้
โดยนักลงทุน 5 ประเภท ประกอบด้วย
1. ผู้ลงทุนสถาบัน
2. Venture Capital (VC) หรือธุรกิจเงินร่วมลงทุน
3. Angel Investor
4. Qualified Investor ตามเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นสมควรว่า สามารถรับความเสี่ยงได้และมีทักษะการลงทุนที่เพียงพอ ซึ่งจะดูจากขนาดสินทรัพย์ที่มี หรือรายได้ต่อปี หรือพอร์ตการลงทุน
5. กลุ่มคนคุ้นเคยของบริษัท เช่น พนักงาน
ซึ่งตรงนี้ต้องหมายเหตุเอาไว้ด้วยว่า ทางสำนักงาน ก.ล.ต. จะมีการประกาศรายละเอียด กฎเกณฑ์ในการพิจารณาผู้ลงทุนอย่างชัดเจนเต็มรูปแบบในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทางลงทุนแมนก็จะสรุปมาเล่าให้ฟังกันอย่างแน่นอน
สรุปแล้ว LiVE Platform คือ ศูนย์รวมความรู้ด้านธุรกิจที่หลากหลาย สำหรับผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ตั้งแต่การทำบัญชี การตลาด การจัดการ ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมสู่การระดมทุนผ่านกลไกตลาดทุน
ส่วน LiVE Exchange คือ ตลาดสำหรับ SMEs และ Startups ที่ต้องการระดมทุนในวงกว้าง และช่วยเปิดโอกาสให้ธุรกิจ SMEs และ Startups สามารถยกระดับธุรกิจของตนให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และเติบโตพร้อมระดมทุนต่อไป ใน SET หรือ mai
ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เชื่อว่าทั้ง LiVE Platform และ LiVE Exchange จะสร้างองค์ความรู้ เตรียมความพร้อม เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อการพัฒนา SMEs และ Startups ให้เป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ เติบโตอย่างเข้มแข็ง และเป็นกลไกของเศรษฐกิจไทย
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs และ Startups หรือนักลงทุน ที่สนใจในโครงการดี ๆ แบบนี้ ลองเข้าไปชมเว็บไซต์ www.live-platforms.com กันได้เลย
set กล ต 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ ก.ล.ต. ส่งเสริม SMEs และ Startups เข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุน เปิดเวที LiVE Demo Day ตอกย้ำการขับเคลื่อน 14 ก.ย. นี้
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ ก.ล.ต. จัดงาน “LiVE Demo Day : The New Road to Capital Market” ตอกย้ำบทบาทการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs และ Startups เข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุนเต็มรูปแบบ โดยได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ปาฐกถาพิเศษถึงยุทธศาสตร์การยกระดับความสามารถผู้ประกอบการไทย พร้อมชวนผู้ลงทุน ผู้ประกอบการ ผู้สนใจ รับฟังการนำเสนอข้อมูลจาก 21 บริษัท SMEs และ Startups ที่มีศักยภาพ วันที่ 14 กันยายน 2564 ในรูปแบบ virtual conference
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการรายเล็กโดยเฉพาะ SMEs และ Startups ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ โดยมีแผนกลยุทธ์สำคัญในการเสริมศักยภาพและสนับสนุนการระดมทุนของธุรกิจเหล่านี้ ล่าสุด ร่วมกับ ก.ล.ต. จัดงาน “LiVE Demo Day : The New Road to Capital Market” ตอกย้ำบทบาทการส่งเสริมครบทุกมิติ สอดคล้องนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคต โดยได้รับเกียรติจาก รมว. คลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ปาฐกถาพิเศษ “ยุทธศาสตร์ส่งเสริม SMEs / Startups เพื่อยกระดับขีดความสามารถและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าบทบาทในการส่งเสริม SMEs และ Startups ให้เติบโตไปอีกขั้นผ่านกลไกตลาดทุน” มุ่งพัฒนาผู้ประกอบการผ่าน LiVE Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนสำหรับผู้ประกอบการ โดยได้ร่วมกับพันธมิตรในทุกภาคส่วน พัฒนาบริการต่าง ๆ เพื่อมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ อาทิ การจัดทำ e-Learning เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ขั้นพื้นฐานและเชิงลึก การให้บริการ Business Coaching ผ่านโครงการ LiVE Acceleration Program และ LiVE Incubation Program เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดตั้ง LiVE Exchange ซึ่งเป็นตลาดรองสำหรับ SMEs และ Startups ที่มีการระดมทุนในวงกว้าง (IPO) โดยได้ทำงานร่วมกับ ก.ล.ต. พัฒนาหลักเกณฑ์รองรับการระดมทุนในวงกว้าง และการจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดรองสำหรับ SMEs และ Startups หวังเพิ่มช่องทางการระดมทุนสำหรับ SMEs และ Startups ซึ่งได้เปิดรับฟังความคิดเห็น (Public Hearing) ไปเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ ในการพัฒนาระบบซื้อขายสำหรับ LiVE Exchange ซึ่งจะมีกลไกการซื้อขายและการกำกับดูแลที่แตกต่างจาก SET และ mai โดยรูปแบบการซื้อขายจะเป็นลักษณะ Auction-based วันละ 1 รอบ และชำระราคาและส่งมอบหุ้นภายในวัน โดยจะมีการจำกัดประเภทผู้ลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงในการลงทุน เบื้องต้นมีบริษัทหลักทรัพย์ที่สนใจเข้าร่วมทดสอบระบบเพื่อให้บริการ LiVE Exchange แล้วกว่า 25 ราย คาดเปิดให้บริการได้ภายในสิ้นปี 2564 นี้
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลและส่งเสริมพัฒนาตลาดทุน เล็งเห็นความสำคัญและบทบาทของ SMEs และ Startups ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ก.ล.ต. จึงดำเนินนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมที่จะทำให้ตลาดทุนเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง (Capital Market for All) โดยมุ่งหวังให้ตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญสำหรับกิจการทุกขนาดและทุกประเภท ซึ่งรวมถึง SMEs และ Startups สอดคล้องแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ปี 2561 - 2580) และแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 3 (ปี 2560 - 2564)
“ก.ล.ต. ได้ดำเนินการให้ SMEs และ Startups สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุนมาอย่างต่อเนื่องและมีการพัฒนาอย่างเป็นลำดับขั้นมาตั้งแต่กลางปี 2562 ทั้งในเรื่องการออกหลักเกณฑ์รองรับการระดมทุนในตลาดทุนของ SMEs และ Startups ควบคู่กับการให้ความรู้และวิธีการระดมทุนผ่านตลาดทุน โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้าถึงผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการเสนอขายหลักทรัพย์ในวงจำกัด (SME-PP) ของบริษัทจำกัด และปรับปรุงการระดมทุนผ่านระบบคราวด์ฟันดิง (crowdfunding) ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ระดมทุนผ่าน SME-PP และ crowdfunding จำนวน 83 ราย มูลค่าระดมทุนรวม 795 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564) นอกจากนี้ เพื่อให้การระดมทุนในตลาดทุนครอบคลุมกิจการ SMEs และ Startups ก.ล.ต. จึงได้ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกหลักเกณฑ์รองรับการระดมทุนในวงกว้างของ SMEs และ Startups (SME-PO) และ
นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดรอง (LiVE Exchange) โดยพิจารณาผ่อนปรนหลักเกณฑ์เพื่อให้มีความเหมาะสม และยังคงหลักการเรื่องการคุ้มครองผู้ลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าหลักเกณฑ์ SME-PO จะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2564”
การขับเคลื่อนการพัฒนา SMEs และ Startups ผ่าน LiVE Platform ของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากเครือข่ายพันธมิตรกว่า 25 องค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลาดทุน มหาวิทยาลัย ในการร่วมพัฒนาบริการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านกลไกตลาดทุนได้อย่างมีคุณภาพ รวมทั้งได้รับเงินทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ และเงินทุนสนับสนุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs / Startups จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
งาน “LiVE Demo Day : The New Road to Capital Market” จัดขึ้นในวันที่ 14 กันยายน 2564 เวลา 10.00–16.30 น. ในรูปแบบ virtual conference โดยมีหลากหลายหัวข้อสัมมนาน่าสนใจ และมี 21 บริษัท SMEs และ Startups จาก LiVE Acceleration Program 2020 มานำเสนอข้อมูลธุรกิจและศักยภาพการเติบโตสู่การระดมทุนในอนาคต ผู้สนใจดูรายละเอียดและติดตามรับชมที่ www.facebook.com/LiVE.Platform.SET/, www.facebook.com/set.or.th หรือ www.youtube.com/setgroupofficial
set กล ต 在 MONEY HERO Youtube 的最佳解答
*** ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง OR ขาย IPO 3 พันล้านหุ้น
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย.63 ได้อนุมัติคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เรียบร้อยแล้ว โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 3,000,000,000 หุ้น พาร์หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 10 บาท แบ่งเป็น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นจำนวนไม่เกิน 2,700 ล้านหุ้น (ไม่รวมจำนวนหุ้นส่วนเกินสำหรับการให้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกิน)
โดย OR จะจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้นเพื่อรักษาสิทธิ (Pre-emptive Rights) และจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 2,400 ล้านหุ้นเสนอขายประชาชนทั่วไป ขณะที่จะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 300 ล้านหุ้นรองรับการใช้สิทธิจัดสรรหุ้นเกินกว่าจำนวนที่เสนอขาย (หากมีการใช้สิทธิ)
สมัครสมาชิกเพื่อรับการบ้านหุ้นทุกสัปดาห์ https://www.youtube.com/channel/UCQ9GeIRkWhpobJmy4UZqNsg/join
เปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศ http://partners.etoro.com/B12996_A84803_TClick_Smoneyhero.aspx
สมัครเรียน line@ : https://lin.ee/iDPznwt
เปิดพอร์ตหุ้นแบบ online เพื่อใช้งาน Finansia HERO ฟรี http://bit.ly/stocksMindmap
แอปดูกราฟ https://youtu.be/uFCJ_xR_uwE
สอนดูกราฟหุ้นมือใหม่ https://www.youtube.com/watch?v=2mW1qQwuCOE
สั่งหนังสือเจาะตื้นหุ้น https://serazu.com/web/product/2050
ติดต่องาน email : ubuwall@gmail.com
fanpage FB : อ่านงบการเงินไม่ยาก
สามารถดาวน์โหลดสูตรสแกนหุ้นได้ที่ https://bit.ly/2LWpywl
