最近意外的發現狗也會有黑色素瘤。自然界有許多動物會自然產生黑色素瘤(意指非實驗室誘導,例如老鼠如果不經基因誘導是不會產生黑色素瘤的),從鯊魚,鸚鵡,烏龜,河馬,劍尾魚,到馬,豬,猴子都有,其中以狗的黑色素瘤與人的模式最近似。
犬黑色素瘤最常見位置為口腔 (62%), 皮膚(27%), 腳趾 (6%), 趾甲 (4%), 及眼部(1%)。
犬口腔黏膜黑色素瘤最常發生於牙齦,且某些品種的狗特別容易發生,占了50%的病例。這些品種包括貴賓狗,黃金獵犬,拉布拉多,羅威那牧羊犬,及約克夏。
人類的黏膜黑色素瘤發生於鼻腔,陰道,口腔,食道等部位,預後較一般黑色素瘤差,而犬口腔黑色素瘤也是,局部侵犯性高,且易轉移至鄰近淋巴結,遠端轉移到肺,依照診斷期別與治療,生存期從數個月至一年都有報導。
另一與人類黑色素瘤相似處為對化療放射線治療效果不佳。
犬的肢端黑色素瘤是趾頭第二常見腫瘤,好發掌面及趾甲,局部侵襲性高且40–58%已侵犯至骨頭,導致發現時三至四成已經轉移至淋巴或肺。
至於致病機轉,犬,馬與人都有MAPK 及PI3K/AKT mTOR pathway。已經臨床運用的標靶藥物如dabrafenib (Tafinlar泰伏樂)及Mekinist麥欣霓便是針對MAPK pathway,至於針對mTOR pathway的rapamycin or everolimus 則較少運用於黑色素瘤臨床治療。病理部分,犬與人的黑色素瘤也有類似病理型態。
如果狗也跟我們一樣會去檢查自己的身體,也許可以跟我們一樣早點發現,狗也跟我們一樣會生病會得癌症,如果家中有狗毛孩,還是得注意一下他們的口腔喔。
# 犬黑色素瘤
#好想念我們家已經往生的狗狗們
# Oncept melanoma vaccine已用於犬的口腔黑色素瘤安寧治療
rapamycin (mtor) 在 唐豪悅醫師 Dr Kelly Tang 皮膚醫美 Facebook 的精選貼文
#結節硬化症患者的好消息!
#結節硬化症 #台大醫院 #rapamycin
【臺大醫院成功研發結節硬化症血管纖維瘤的治療用藥】
http://www.ntuh.gov.tw/informa…/…/latest_news/DispForm.aspx…
結節硬化症是一種自體顯性遺傳疾病,致病原因是因TSC1或TSC2基因變異造成細胞內控制生長的mTOR訊息路徑過度活化,使得病患體內多種器官如腦部、腎臟、肺部、心臟、眼及皮膚的細胞增生形成錯構瘤,在上述所有的錯構瘤中,臉部的血管纖維瘤發生於九成的結節硬化症患者,患者常從3-4歲開始在鼻部及兩頰發現膚色到紅色突起丘疹,嚴重時丘疹會互相融合形成大斑塊,因病灶有血管成分,在悶熱環境下會更為紅腫明顯,對患者外觀影響甚大,若沒有妥善處理,對正在發展的學齡兒童及青少年的同儕關係或成年期的求職常造成影響,增加患者自身及家屬很大的心理負擔。
目前對結節硬化症臉部血管纖維瘤的治療,主要仍局限於外科治療,例如電燒、雷射或手術切除,但會有疼痛、傷口感染,或是產生疤痕的風險。這種侵入性處置在執行上需要局部麻醉,甚至在孩童或不易配合的病患還需要使用全身麻醉。若以內科療法口服mTOR 抑制劑如sirolimus (rapamycin)或everolimus雖也可以改善臉部血管纖維瘤,但可能產生全身性副作用。因此若能單純以外用塗抹的方式治療,對病患是最安全的方式。
Rapamycin 是一種mTOR 抑制劑,其外用製劑在國外使用經驗已知對結節硬化症臉部血管纖維瘤有療效。在臺大醫院的結節硬化症整合門診,我們使用外用0.1% rapamycin藥膏每天兩次持續12週後,臉部血管纖維瘤嚴重度減少了三成,病患也自覺病灶有退紅、變平、變小或消失的現象,整個人覺得變得更美更帥有自信。在藥物安全性上,使用初期可能在藥膏塗抹處產生輕微的皮膚搔癢,此外使用Rapamycin藥膏時應注意防曬。
Rapamycin藥膏目前並無藥廠生產製造,病患對藥膏的取得是一大困難,在臺大醫院藥劑部的協助調製下,自2017年9月起病患於結節硬化症整合門診就診可處方Rapamycin藥膏,希望能提供結節硬化症患者更多的醫療資源及幫助。
#台大醫院 #結節硬化症整合門診 #結節硬化症 #TSC #mTOR #Rapamycin
#基因醫學部 #皮膚部 #藥劑部
rapamycin (mtor) 在 Hero Athletes Facebook 的最佳解答
Repost ความช้าของวงการฟิตเนสไทย
Repost
ว่าด้วยความช้าของวงการฟิตเนสไทย
Part.3 จุดบอดระดับสังคม, ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ปากท้อง (Economic 101) และเหล่า Idol จอมปลอม (False Idol)
“Blind spot หรือจุดบอด คือจุดที่ไม่มีเซลล์รับภาพแม้จะมีแสงเข้ามายังเรตินาในลูกตาก็ตาม
“
คำว่าจุดบอดนั้น หลายคนคงเคยได้ยินแต่อาจจะไม่เข้าใจแน่ชัดว่ามันคือจุดไหนเป็นอย่างไร วันนี้เลยเอาภาพอธิบายจุดบอดมาให้ทุกคนได้ชมกัน ซึ่งเป็นภาพที่เครื่องหมายบวกอยู่ทางซ้ายและจุดดำทางขวา โดยวิธีการทดสอบคือ ปิดตาขวา แล้วมองที่เครื่องหมายบวก แล้วเลื่อนหน้าเข้าใกล้ภาพมากขึ้น จะมีระยะหนึ่งที่จุดสีดำทางขวา นั้นหายไป ตรงนั้นเองที่เรียกว่าจุดบอด
พอเข้าใจไอเดียมั้ยครับ ?
'ยิ่งใกล้ขึ้น ยิ่งมองไม่เห็น’
‘ยิ่งใกล้ความสำเร็จมากขึ้น ยิ่งหายไป'
นั่นแหละคือคุณลักษณะของเหล่าไอดอลจอมปลอมทั้งหลาย
ผมว่าหลายๆคนเค้าเกือบจะเป็นไอดอลที่ดีให้กับคนรุ่นหลังหรือเด็กๆเยาวชนที่หันมาสนใจสุขภาพแล้วนะ
เกือบละ
ใกล้ละ..
ใกล้ละ...
ใกล้ละ....
แล้วก็หายไป...
เมื่อบรรดานักกีฬา นักเพาะกายหรือนายแบบ (ใช้นักเพาะกายหรือนายแบบเป็นตัวอย่างได้ง่ายเพราะว่ารูปล่างอัตลักษณ์ภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่สมองส่วน Cerebrum ใช้ตีความก่อนอย่างแรก และโดยเฉพาะสังคมที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเช่นสัมคมไทยในหมู่มาก) หรือไอดอลเหล่านั้นเริ่มเป็นที่รู้จัก เริ่มมีตัวตนในสังคมมากขึ้นโดยเฉพาะปัจจุบัน สื่อ Social Media นั้นเข้าถึงและเสพได้ง่ายมากเพียงปลายนิ้วสัมผัส เช่นจากวัฒนธรรมการ Selfie ถ่ายรูปตัวเองตอนหุ่นดีๆลง Social Network (Selfie-Culture) มี Follower เยอะๆ (สาเหตุที่เค้า Follow มึงก็เพราะเค้าเชื่อในตัวพวกมึงนะ) ก็กลับกลายเปลี่ยนตัวเองเป็นนักธุรกิจไปเสียหมด เพราะฉวยโอกาสตรงนั้นนั่นเอง
พอยิ่งใกล้มากขึ้น ตัวเองก็กลับทำอุดมการณ์นั้นหายไปเสียเอง
โดยเปลี่ยนอุดมการณ์ตัวเองเป็นธุรกิจ ขายของ ขายอาหารเสริม ขายคอร์ส ขายโปรแกรมไม่มีใครเป็นตัวอย่างไอดอลที่ยั่งยืนเลย น้อยมากๆ
เคยโดนด่าครับ ว่า ไอ้กลุ่มนี้ไอ้เด็กสมัยนี้มัน ตั้งกลุ่มตั้งแก๊งค์อะไรของมันเอง ไม่เหมือนสมัยก่อน มีไอดอล มีครูมีศิษย์ เด็กสมัยนี้มันไม่เอาตัวอย่างผู้ใหญ่ในวงการแล้ว หรือเอาธุรกิจขายตรงมาทำ
หลายคนสามารถตอบได้เลยว่า... (นี่คือคำตอบของเด็กสมัยนี้เลยนะ)
ก็ไอดอล หรือโค้ชแต่ละท่านทำทุกอย่างเป็นธุรกิจไปหมดเลยทำไมล่ะ? ถือกระป๋องอาหารเสริมลดน้ำหนักถ่ายรูปคู่ ขายคอร์สราคาเป็นพัน ธุรกิจทั้งนั้น เด็กสมัยนี้ก็ไม่ได้โง่นะครับ เริ่มตาสว่างกันมากขึ้นเยอะแล้ว แต่ก็มีอีกเยอะโดนหลอกขายไปเยอะ อยากจะพัฒนาวงการฟิตเนสไทย สังคมไทยจริงๆ เราต้องให้ความรู้ความเข้าใจเค้าจริงๆ บอกความจริง ไม่ใช่ยัดเยียดอะไรที่มันไม่ใช่ ต้องให้ข้อมูลเค้าไปตัดสินใจเอง (และก็ไม่ใช่ให้ความรู้แบบ เราสามารถเปลี่ยนลายกล้ามท้องได้นะ)
บ้านเราเป็นสังคมเชิงวรรณะอย่างไม่ชัดเจนหรือเรียกว่ากึ่งๆ (Semi-Hierachy) ถึงแม้จะไม่มีใครพูดแต่ทุกคนรู้กัน โดยมีการเคารพกันของเด็ก ผู้ใหญ่ พี่ น้อง เจ้านาย ลูกน้อง ครู ศิษย์ โดยเป็นไปอย่างในจิตใต้สำนึก (ถ้าไม่เคารพ จะเกิดความรู้สึกผิด ความไม่ถูกต้องเล็กๆในใจ) โดยพวกนี้ถูกฝังอยู่ในระบบการศึกษา (Education System) วันไหว้ครู ครูบาอาจารย์เราต้องเคารพ ไม่มีสิทธ์วิพากษ์วิจารณ์เด็ดขาด สังคมระบบ SOTUS สอนให้เคารพรุ่นพี่ (แต่กลับมีประเพณีการรับน้องที่น่าตกใจ การตวาด การด่าที่ใช้คำหยาบคายที่รุนแรง เห็นได้ตามคลิปที่ว่อนในโลก Social ได้ทั่วไป)
ซึ่งก็ไม่ได้ผิด การเคารพครูบาอาจารย์ เคารพรุ่นพี่รุ่นน้อง หรือมีไอดอลนั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ แต่เราก็ควรจะส่งเสริมในทางที่ถูก ไม่ใช่ดังแล้วฉวยโอกาสกับความดังของตัวเอง จริงมั้ย? หรือโตกว่าแล้วสามารถตวาดรุ่นน้องได้ยังไงก็ตาม (มนุษย์ควรจะมีสิทธ์เท่าเทียมกันสิ)
ไม่ใช่เคารพครูบาอาจารย์อย่างเดียวที่เราวิพากษ์ไม่ได้นะ
ดารา ไอดอล เซเลบ หลายๆคน ซึ่งเปนโรคอย่างหนึ่งของคนไทยคือโรคบ้าคนดัง
ไม่รู้สิ ความเห็นส่วนตัวนะ ธุรกิจควรจะควบคู่กับการพัฒนาสังคมไปด้วย (Corporate Social Resposibility) ถ้าเป็นไปได้
ไม่ใช่มาขายตรงตั้งตนเป็นโค้ชได้ในสองวัน
ใครๆก็เปิดคอร์สเทรนเนอร์ได้ เปิดสอนได้ เปิดขายอาหารเสริมได้ แต่พอถามความรู้เชิงลึกจริงๆแล้วกลับตอบไม่ได้สักคำถาม ก็ต้องว่ากันไปตรงๆว่า ไม่ใช่จบคอร์ส Personal Trainer จะรู้จริงๆ หรือมีเสื้อเขียนว่า Personal Trainer แล้วจะรู้ทุกอย่าง (ซึ่งควรจะรู้) คำถามเบสิคอย่างเช่น (ผมมั่นใจนะว่าพวกนี้คือคำถามเบสิค):
จะกระตุ้นการทำงานของ mTOR Pathway (mammalian target of rapamycin) ได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?
โซเดียมในนักกีฬานั้นควรทานเวลาใดและปริมาณเท่าใด ?
การทานไขมันหลังออกกำลังกาย มีผลต่อการหลั่งอินซูลินอย่างไร ?
เป็น Tennis Elbow สามาถเล่น Bench Press กับ Cable Bicep Curl ได้หรือไม่ ?
Front Squat สามาถช่วยปรับสรีระของคนที่เป็น Kyphosis ได้หรือไม่ ?
เป็นคนที่กล้ามเนื้อสะโพกไม่แข็งแรง มีท่าออกกำลังกายบริหารท่าใดช่วยทำให้กล้ามเนื้อกลุ่ม Iliopsoas แข็งแรงขึ้นมาได้บ้าง ?
Fascia Stretch Training นั้นสามารถใช้กับบุคคลทั่วไปได้หรือไม่ ?
อย่าตอบนะครับว่าพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่หรือความรู้ของ Personal Trainer ที่จะตอบ ให้ไปถามผู้รู้ในสายอื่น นี่ผิดถนัดนะครับ พวกนี้คือคำถามเบสิคมากที่ควรจะรู้ก่อนที่จะทำการสอน
เคยมีเพื่อนยัดเยียดมาให้เทรนให้หน่อย ซึ่งก็บอกมันไปว่า กูอยู่อเมริกา จะให้กูเทรนยังไง มันก็บอกเขียนโปรแกรมให้หน่อย นะ กูขอร้อง ก็เขียนๆไป มันตื้อมาก สุดท้าย ไหล่เกือบหลุด ผมรู้สึกผิดมากนะ รู้สึกต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขียนไป ผมเลยให้ความสำคัญกับคุณภาพของการเป็นเทรนเนอร์มากนะ อันนี้ก็เข้าใจด้วยว่าทำไมถึงเล็งประเด็นนี้เป็นหลัก
—————————————————————————————————————————————————
มาสู่ช่วงวิเคราะห์เชิงลึกกันว่า พวกนี้มันเกิดจากอะไร ?
ผมนั่งคิดแล้วคิดอีก สาเหตุหลักๆง่ายๆปัจจัยหนึ่งเลยคือ ‘เศรษฐศาสตร์มหภาค’ เป็นปัจจัยหลักในการก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นไอดอลจอมปลอมหรือจุดบอดมืดต่างๆเช่นปัจจุบันนี้ (จริงๆมันมีหลายปัจจัยนะ นี่แค่ปัจจัยเดียว)
นี่พูดถึงวงกว้างเลยนะ เพราะพวกนี้มันหาเงินง่ายไง แล้วบ้านเราก็หาเงินยาก ใครๆก็อยากทำงานที่มันหาเงินง่ายๆ ถ่ายรูปคู่กับผลิตภัณฑ์บางตัว ได้ไปละเป็นแสน ไม่ได้ทำอะไรเลย หรือเห็นคนอื่นเป็นเทรนเนอร์ อยากเป็นบ้าง ยืนสอนคนอื่นได้ไปละ ชั่วโมงเป็นพัน มันดูเหมือนจะง่ายไง แต่ 'การเป็น Personal Trainer มืออาชีพ กับ การมีอาชีพ เป็น Personal Trainer' มันต่างกันมาก ผมเคารพคนที่สอนเป็นแล้วรู้เรื่องจริงๆนะ เพราะพวกนี้มันสอนยากมาก ต้องใจรักในการสอนจริงๆ ซึ่งบุคคลประเภทนี้ น่าเคารพยิ่งนัก
ผมว่ายากนะทำงานที่ไทย มันเทียบได้เพราะผมทำงานอยู่อเมริกาซึ่งค่าเงิน (Currency) ต่างกันมาก ซึ่งตรงนี้ระบบธนาคาร (Banking System) ต่างๆและปัจจัยมากมายหลากหลายเหตุนั้นเช่นการเมือง ราคาน้ำมันอะไรต่างๆ เป็นผลให้ค่าเงินมันต่างกัน แต่ถ้าถามจริงๆให้ตอบว่ามันต่างกันเพราะเหตุใด ตอบไม่ได้เหมือนกัน ใครมันคิดให้ค่าเงินมันต่างกันเช่นนี้ในเมื่อทำงานแบบเดียวกัน เหนื่อยเท่ากัน ไอ้ห่า ทำงานทั้งวันได้ไม่ถึง 300 บาท ในเมื่อ ทำงานที่อเมริกา ได้ชั่วโมงละเกือบ 1,000 บาท อะไรกัน ตอบสิ?!?!?
เดือนนึงทำงานแทบตายได้ขั้นต่ำปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่ต่ำกว่านั้น มีค่าบ้านค่ารถค่าน้ำมันค่าน้ำค่าไฟค่ากินต้องจ่าย เหลือกันเท่าไรล่ะ ? ทำงานที่อเมริกาเดือนเดียวน่าจะเท่ากับทำงานที่ไทยประมาณครึ่งปี อเมริกาหรือประเทศโลกที่หนึ่ง วงการฟิตเนสเขาถึงไปไกลกว่าเรามาก
ง่ายๆเพราะว่าเรื่องค่าเงินนั่นเอง เขาพร้อมกว่าเรา เขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกอย่างเป็นธุรกิจไปหมดนี่ มีพื้นที่เหลือพอให้ Passion ได้เจริญเติบโตพอให้การศึกษาในสายงานต่างๆเจริญเติบโต มีรัฐบาลสนับสนุน โดยประเทศไทยเรารัฐบาลยังไม่มีเวลามาให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ประชาชนเรื่องสุขภาพเลย หรือยังไม่มีการบรรจุหลักสูตรจริงจังด้านสุขภาพหรือการออกกำลังกาย เพราะขาดบุคลากรในสายงานนี้มากหนัก ประเทศไทยเราปัญหาปากท้องทำให้หลายๆอย่างกลายเป็นการดิ้นรนเพื่อธุรกิจ เพื่อการอยู่รอดของแต่ละปัจเจกบุคคล หรือแต่ละบริษัท เห็นอะไรเติบโตหน่อยก็ขอจับไปทำเป็นธุรกิจบ้าง อาหารคลีนอะไรต่างๆเปิดมาวันละไม่รู้กี่เจ้า
ซึ่งก็ไม่ผิดอีกเช่นกัน ในเมื่อการมีตัวตนการมีอัตลักษณ์ของแต่ละคน เป็นหนึ่งใน Basic Human Need (ต้องกิน ต้องอยู่ ไม่กินไม่อยู่ก็ตายสิ)
ถูกผิดวัดจากไหน ? อันนี้ตอบไม่ได้นะ คงต้อง Debate กันยาวว่าอะไรคือความถูกต้อง
แต่อย่างน้อยทำให้มันมีคุณภาพหน่อย ไม่ใช่ใครจะขายอะไรก็ได้ ใครจะเปิดคอร์สอะไรก็ได้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีความรับผิดชอบต่อจรรยาบรรณ ต่อลูกค้าตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่าคนในชาติมีความรู้เรื่องฟิตเนสน้อย แล้วเอาตรงนั้นมาเป็นโอกาสทำเงิน แทนที่จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะช่วยกันพัฒนา
วงการฟิตเนสบ้านเขาไปไกลกว่าบ้านเรา วัดยังไง ?
คือทุกคนในชาติมีความรู้พื้นฐานเรื่องสุขภาพเรื่องฟิตเนสมากกว่าชาติอื่น เท่านั้นเอง
อย่างน้อยถ้าไม่รู้ ก็รู้ว่าจะหาได้ที่ไหน
ปัญหาพวกนี้สามารถหายไปได้นะ ถ้าเศรษฐกิจบ้านเราพัฒนามากกว่านี้ ถ้าทุกคนมีรายได้ขั้นต่ำแน่นอนมีพื้นที่เหลือให้ Passion ของตัวเองเติบโตเป็นเรื่องเป็นราว
พูดจริงๆ (เล่นกล้ามสะท้อนเศรษฐกิจไทย)
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดังเฮ้ออออออออออออ...... นั่งเลื่อนศีรษะเข้าๆออกๆมองภาพจุดบอด สลับตาซ้ายและขวาต่อไป
Be the change you want to see in the world.
Be a Hero.