สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse ทำไมคนไทยไม่ควรพลาด ในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี ?
BBLAM x ลงทุนแมน
หลังจาก ลงทุนแมน ได้ชวนผู้เชี่ยวชาญหุ้นเทคโนโลยีจากกองทุนบัวหลวง
มาร่วมพูดคุยในเรื่องหุ้นเทคโนโลยีกันแบบเจาะลึก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
โดยมี 2 Speakers มากประสบการณ์จากกองทุนบัวหลวง ได้เปิดเผยข้อมูลน่าสนใจมากมาย
- คุณเศรณี นาคธน AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
- คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
สถานการณ์ความท้าทาย, โอกาสในอนาคต รวมทั้งแนวทางการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คำถามที่ 1 : หุ้นเทคโนโลยีจะกลับมาอีกครั้งหรือยัง ?
สังเกตไหมว่าในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนได้ดีมาโดยตลอด
โดยในปีนี้ ดัชนีที่รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Nasdaq ก็ให้ผลตอบแทน 12%
ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่านักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจหุ้นเทคอีกครั้ง
อย่างในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราก็คงได้มีโอกาสใช้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lazada, Shopee หรือ Netflix
แต่ถ้าถามว่ามุมมองต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
แน่นอนว่า สิ่งที่จะทำให้โลกขับเคลื่อนต่อไปได้ก็คือเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการพัฒนา ให้ถูกขึ้น ดีขึ้น และเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
รวมไปถึงเรื่องของสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก ส่งผลให้แรงงานมีจำนวนน้อยลง จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่าง หุ่นยนต์ หรือ AI เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่แนวโน้มการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมกับการแพทย์อื่น ๆ เช่น การหาหมอออนไลน์, การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ, 3D printing ฯลฯ
ซึ่งถ้าถามว่าถึงเวลาของหุ้นเทคโนโลยีหรือยัง ก็จะเห็นได้ว่า ตลาดเริ่มส่งสัญญาณบวกแล้ว เพราะแม้จะมีความชัดเจนในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่หุ้นเทคในช่วงที่ผ่านมาก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคุณเอมได้เสริมว่า ทุกวันนี้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเทคโนโลยียังไม่เปลี่ยนแปลง และกำไรยังเติบโต อีกด้วย จากเหตุผลที่ว่ามานี้หุ้นเทคโนโลยีจึงเป็น Theme ลงทุนหลักของโลกในระยะต่อไปแน่นอน
คำถามที่ 2 : “เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” ส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยีอย่างไร ?
ปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) จะส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยี 2 เรื่องสำคัญ นั่นคือ
- ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของบริษัท เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมเงินก็จะสูงตามไปด้วย
- การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Dividend Discount Model (DDM) เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อัตราคิดลดก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อคิดเป็นมูลค่าหุ้นกลับมา จึงทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีลดลง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย นั่นเอง
ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลายประเทศเริ่มเปิดเมืองและมีการเร่งฉีดวัคซีน
จึงเป็นไปได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงคาดว่า Bond Yield ต้องปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน
ซึ่ง Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ก็เคยปรับขึ้นไปสูงถึงเกือบ 1.8% จากเดิมที่มีตัวเลข 1%
แต่แล้ว.. เมื่อประกาศอัตราเงินเฟ้อออกมาสูงตามที่นักลงทุนคาดไว้จริง ๆ Bond Yield ที่ปรับขึ้นมารออยู่แล้ว จึงเริ่มกลับปรับตัวลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง หรือที่เรียกว่า Real Yield ที่คำนวณจาก Bond Yield หลังหักเงินเฟ้อคาดการณ์ ยังอยู่ในระดับต่ำ -0.8%
สะท้อนได้ว่า ผลตอบแทนพันธบัตรไม่น่าจะเอาชนะเงินเฟ้อได้
จึงส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจ จากนั้นมาหุ้นเทคโนโลยีก็เริ่มปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ผ่านเครื่องมือ Dot Plot
ยังมองว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) อาจเกิดขึ้น 2 ครั้งภายในปี 2023
ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้
นักลงทุนจึงมองว่า ยิ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมาเร็วมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดอัตราเงินเฟ้อย่อมลดลง
ดังนั้น Bond Yield คงไปต่อได้ไม่ไกล จึงน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยี อีกด้วย
คำถามที่ 3 : ปัจจัยใดส่งผลต่อ “การปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยี” ในตอนนี้ ?
ปัจจัยแรกคือ Bond Yield
หากถามว่า Bond Yield เท่าไรถึงจะส่งผลต่อตลาดหุ้น คำตอบจากการสำรวจของ Bank of America นั้นอยู่ที่ 2.5% ซึ่งปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ยยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ บวกลบไม่เกิน 1.5%
ดังนั้น กว่าที่ Bond Yield จะปรับตัวสูงถึงระดับนั้น อาจใช้เวลานาน ตลาดหุ้นถึงจะเริ่มปรับฐาน
ปัจจัยที่สองคือ Sector Rotation
เมื่อต้นปีเกิดแรงขายของหุ้นเทคโนโลยี ไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาปรับสูง จนกลายเป็น Commodity Supercycle
สะท้อนได้ว่า สินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็น Most Crowded Trade ที่อาจเข้าใกล้จุดสูงสุดไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเริ่มคลายกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ บวกกับผลประกอบการของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีที่ออกมาดี จึงเป็นเหตุผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้ง
ปัจจัยสุดท้ายที่หลายคนกังวลคือ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น คนยังจะพึ่งพาเทคโนโลยีอยู่หรือไม่ ?
ซึ่งต้องยอมรับว่า พฤติกรรมหลาย ๆ อย่างได้กลายเป็น New Normal ไปเรียบร้อยแล้ว
อาทิ Work From Home, การช็อปปิงออนไลน์, การสั่งอาหารแบบ Delivery
สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้ว่า ปัจจัยพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีจะยังคงอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
คำถามที่ 4 : “QE Tapering” กระทบหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่ ?
การปรับลดวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า QE Tapering
แม้ว่าจะมีวงเงินลดลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในสถานะอัดฉีดเงินอยู่ดี
โดย QE Tapering เป็นหนึ่งในสัญญาณชี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจอาจดีขึ้นแล้วจริง ๆ
เพราะแม้ว่า FED จะลดวงเงินอัดฉีดเงิน แต่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
สะท้อนได้ว่า เราอาจจะกำลังอยู่ในช่วง Mid-cycle ของวงจรเศรษฐกิจ
ซึ่ง Mid-cycle จะเป็นช่วงที่ระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ได้สูงมาก และเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่องได้
โดยปกติแล้วจะส่งผลดีต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก
ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าความกังวลเรื่องสภาพคล่องก็ถูก Price In ไปแล้วบางส่วน
เมื่อทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่ากลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็พร้อมจะไปต่อได้
นอกจากนี้ ต้องให้เครดิตคุณเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผู้เป็นสุดยอดนักสื่อสาร และเข้าใจตลาดการลงทุน ซึ่งการค่อย ๆ ออกมาพูด ทำให้ตลาดปรับตัวได้
ที่น่าสนใจคือ หุ้นเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา มีเพียงปีเดียวที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบ คือปี 2018 ที่ให้ผลตอบแทน -1.1% จากมรสุมลูกใหญ่ อาทิ Trade War, ทรัมป์ ทวีต และการประกาศขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีเดียว ส่วนปีอื่นๆ ล้วนให้ผลตอบแทนในอัตราเลขสองหลัก
สะท้อนได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ และให้ผลตอบแทนที่ดีได้
คำถามที่ 5 : ถ้าอนาคตเกิด “การดูดกลับสภาพคล่อง” หุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม ?
ก่อนหน้านี้ สภาพคล่องได้กระจายตัวไปทั่วตลาดหุ้น แม้แต่ในหุ้นที่ขาดทุนไม่มีกำไร
ดังนั้น เมื่อสภาพคล่องลดลง หุ้นที่มีคุณภาพและมีกำไร เชื่อว่าจะยังไปต่อได้
ต่างจากหุ้นพื้นฐานไม่ดี ยังไม่มีกำไร คงยากที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้
ทีนี้น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ไม่ใช่หุ้นเทคทุกตัว ที่จะน่ากลัวเสมอไป
หนึ่งวิธีที่จะช่วยเฟ้นหาหุ้นเทคในช่วงเวลานี้คือ วิธี Bottom Up
ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานจากตัวธุรกิจ ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น Shopify ธุรกิจ E-commerce แบบครบวงจรสัญชาติแคนาดา ทั้งในด้านการตลาด โกดังเก็บของ และบริการขนส่งสินค้า แม้จะมี P/E สูงมาก แต่ก็สร้างกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเท่าตัว และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องได้ นักลงทุนจึงได้เข้าไปลงทุนจนราคาหุ้นปรับตัวสูง 150% ในปีที่ผ่านมา
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม จึงขึ้นอยู่กับการเลือกหุ้น นั่นเอง
โดยลักษณะหุ้นที่มีโอกาสไปต่อก็คือ หุ้นที่ยังไม่แพง หุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอ และเป็นหุ้นใหญ่
อาทิ หุ้นกลุ่ม FAANG, หุ้นกลุ่ม Software-as-a-Service (SaaS) ที่ให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ที่มี Recurring Income หรือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ และราคาหุ้นยังไม่แพง ก็น่าจะยังไปต่อได้
คำถามที่ 6 : หุ้นเทคโนโลยี “ลงทุนระยะยาว” ได้ไหม ?
หลายคนอาจจะยังไม่กล้าถือหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเพราะกลัวปัจจัยเรื่องดอกเบี้ย
ซึ่งคำถามสำคัญคือ หากมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?
อิงจากสถิติตั้งแต่ช่วงปี 1990 จนถึงปัจจุบัน FED ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 7 ครั้ง บวกการทำ QE Tapering อีก 1 ครั้ง
ผลปรากฏว่า Sector ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้มาโดยตลอดก็คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุดเมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ
หรืออย่างในปัจจุบันเอง ที่มีปัจจัยมากระทบมากมาย อย่างเรื่อง Sector Rotation, ภาษีนิติบุคคลฉบับใหม่, กฎหมายเรื่องการผูกขาด แต่กองทุน B-INNOTECH ยังคงเติบโตกว่า 17%
ดังนั้น ทางกองทุนบัวหลวงก็มองว่า อาจไม่จำเป็นต้องดู Timing มาก แต่ให้เน้นจัดพอร์ตการลงทุนโดยให้คงสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีไว้ เพราะถือเป็น Sector ที่มีโอกาสเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ ในตลาด
คำถามที่ 7 : ตอนนี้ “ควรเลือกลงทุน” หุ้นเทคโนโลยี อย่างไรดี ?
หุ้นเทคโนโลยีในช่วงนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลัก ๆ 3 ประเภท คือ
1. กลุ่ม Hardware เช่น อุปกรณ์ไอที คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร อย่างบริษัท HP หรือ Logitech
2. กลุ่ม Software as a Service หรือว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ในบริษัทองค์กรใหญ่ ๆ เช่น Microsoft Office, Salesforce (CRM) และ ServiceNow
3. กลุ่ม Semiconductor เช่น ชิปเซต การ์ดจอ อย่าง TSMC และ NVIDIA
ซึ่งกลุ่มที่ 2 และ 3 นั้นตลาดจะให้ P/E ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูง ต่างกับกลุ่มที่ 1 ที่อาจเติบโตได้ดีแค่ในช่วงโควิด แต่เป็นสินค้าที่คนไม่ได้ซื้อบ่อย ทำให้ตลาดยังให้ราคาค่อนข้างต่ำ
อย่างบริษัท NVIDIA ผู้ผลิตการ์ดจอ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของนักขุดเหรียญคริปโทฯ ที่มี P/E สูงถึง 76 เท่า แต่ก็มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในไตรมาสที่ผ่านมาสูงถึง 100% ในขณะที่กลุ่ม Hardware อย่าง HP หรือ Logitech นั้นจะมี P/E อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีแต่ละกลุ่มนั้น ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น การเลือกกองทุนที่มีนโยบายบริหารแบบ Active Management หรือ กองทุนที่มีเป้าหมายเพื่อเอาชนะดัชนีอ้างอิง จึงเป็นนโยบายที่เหมาะกับการลงทุนใน Theme เทคโนโลยีนี้ เพราะจะช่วยให้กองทุนมีความยืดหยุ่นในการคัดเลือกหุ้นมากขึ้น โดยสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่เห็น Upside ได้เยอะกว่าได้ เมื่อเทียบกับแบบ Passive Management ที่ลงทุนอิงตามดัชนีเท่านั้น
คำถามที่ 8 : แล้ว “B-INNOTECH” เลือกหุ้นเทคโนโลยีเข้าพอร์ตอย่างไร ?
วิธีคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุน Fidelity ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ B-INNOTECH
จะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ
- Growth คือ หุ้นบริษัทที่เน้นการสร้างนวัตกรรมทันสมัย มีแนวโน้มเติบโต และเป็นผู้นำได้ในระยะยาว
- Cyclical คือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และที่จะเติบโตไปตามสภาพเศรษฐกิจได้
ตัวอย่างเช่น หุ้นผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Semiconductor ที่จะยังเติบโตต่อไปได้
- Special Situation คือ หุ้นบริษัทคุณภาพในช่วงเวลาไม่ปกติ
เมื่อกองทุนเห็นบริษัทคุณภาพที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
หากบริษัทนั้น มีโอกาสฟื้นตัวได้สูง น่าสนใจในอนาคต ก็จะเข้าไปลงทุนเก็บสะสมไว้
ดังนั้น การเลือกหุ้นเทคโนโลยีของกองทุน B-INNOTECH ที่มักจะลงทุนในหุ้นใหญ่
ลักษณะไม่หวือหวา เช่น Alphabet, Microsoft
ด้วยพื้นฐานของการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม เป็นธุรกิจผู้นำในกลุ่ม
รวมทั้งเป็นธุรกิจมีรายได้และกำไรที่มีคุณภาพ และต้องเติบโตต่อเนื่องในอนาคตด้วย
ซึ่งการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่, ธุรกิจเทคโนโลยีพื้นฐาน และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินการค่อยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้ B-INNOTECH เป็นกองทุนที่มีความผันผวนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกองทุนเทคโนโลยีและ Innovation อื่น ๆ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ สะท้อนได้ว่า B-INNOTECH เป็นอีกหนึ่งกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจเลยทีเดียว ในตอนนี้..
คำเตือน:
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อนู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過14萬的網紅RagaFinance財經台,也在其Youtube影片中提到,www.RagaFinance.com RagaFinance Facebook: https://www.facebook.com/ragafin/ 《Calvin直播室》眾籌計劃 ? http://patreon.com/calvinchoy ◎◎◎訂閱 ◎◎◎▶Ragazine : ht...
「fed fund rate」的推薦目錄:
fed fund rate 在 股癌 Gooaye Facebook 的最佳貼文
不想當韭韭被爆割一頓就要先弄清楚規則和了解自己。
比方說雖然不鼓勵槓桿,但若你是有條件、技術的操作者要使用槓桿來配置當然也是種選擇。只是很多人不知道海內外券商給的融資利率很貴,多半落在 5 - 10% 不等,而這其實是可以談的。交易量夠大打去跟營業員聊聊,或是直接多找幾家問看看就可以有意外發現;海外券商更容易,現在 FED fund rate 低,你只要跟他說在另一家美股券商也有開戶且他們給你更棒的利率,輕鬆就調下去了,調降的幅度看你手腕粗度,從 8% 調到 1% 都有機會。
一來一往你就省下超多的資金成本。
再來很多韭韭喜歡的台股當沖,我常強調玩當沖十次九輸,一般人做越短勝率越低,理由單純是越短期的股價隨機性越高。比方說你可以相對穩妥地說大權值和指數在數月數年後會墊高,但你幾乎不可能猜到接下來一小時股價和指數會往哪個方向。
若堅持要玩當沖,那要明白現股的手續費、交易稅很貴,你該選擇的是股期,成本一來一往差了幾十倍。
綜上所述,一樣是兩株韭菜跑去融資+當沖,假設菜味一樣濃、技術一樣鳥,可是懂得把資金成本弄低的人,長久下來還是贏過(少賠)那些搞不清楚狀況的人。
fed fund rate 在 君子馬蘭頭 - Ivan Li 李聲揚 Facebook 的最讚貼文
[幾時取消壓力測試?]2013驚如果加息點算,真係加咗喎,叻仔。咁減息呢?真係唔關我事,我又唔係地產經紀,純學術討論。
1. 照舊明報文,原文呢度(https://bityl.co/3V0K),最底最都有。照舊,導讀長過原文。
TLDR:壓力測試,2013年推出,當年係驚「如果加息3厘」。諗住如果到幾時?應該取消啦,唔取消都放鬆。當然唔係叫放寬埋首期要求,或者印花稅,或者收入測試。所以根本唔會一大班人仆去買樓。
2. 一講呢個話題,往往就畀人狂鬧,最好乜都唔講,魯迅話齋,樓市嘅嘢呢,哈哈哈。加上好多係標題黨,根本連你篇文講乜都唔會睇,甚至連個標題都唔會睇。總之見到講樓?個個好多意見。仲買樓?你戇X架?聽日電腦大爆炸啦,仲點人買樓叫人去死,人地輸錢你過意得去(按:你決定買之嘛,我拎部電腦指住你叫你買?)。當然另一班又覺得,X,美國佬係咁印銀紙,上面郁下又爆化工廠又爆酒店,十幾萬萬同胞爭住嚟呀,邊有得大跌。隨你,但唔該兩樣嘢。第一,咁大個人有返啲基本嘅責任,就真係從來冇人可以拎支槍指住你買的,你老婆可能可以,但唔係我。第二,睇清楚內容寫乜先鬧
3. 不過,明白嘅。股票睇錯,如果冇買,頂多係見人賺錢自己心理唔平衡。買咗嘅,亦食得鹹魚抵得渴。但樓嘅嘢就唔同,人可以唔使買股票(輸死畀通脹另一回事),但總要搵地方住。
4. 首先,寫到明,唔好曲解:香港樓嘅嘢,投資就無謂啦(收租又好,炒又好,都係投資)。但自住嘅,除非你老豆老母剩落畀你而佢地又差不多(大吉利是,可以移民啫)而你又冇好多兄弟姐妹,或者除非你自己移民,否則,首富話齋,量力而為,買到都係應該買。幾十年嘅嘢,點睇都係通脹。至於你想捉低位嘅,就唔係我智慧可以教你了。
5. 另外,唔使問我樓價會升定跌,個個香港人都係樓神好有睇法啦。當然亦唔存在「自住就冇所謂」(試下買完即時跌一半?)。但,唔好高估自己嘅能力啦,你同我,都係好多嘢唔知嘅。既然都係唔知,買到咪買!
6. 仲有,本文講「取消壓力測試」。其實寫完覺得,太激了,一步一步嚟,放寬都得。所以你要鬧話「一下就取消?一步步啦」,我絶對接受。
7. 但,又係唔好曲解,我冇話要放寬首期限制,冇講要郁印花稅,甚至冇講要入收入測試—咁多樣嘢,我只講一樣,就係「壓力測試」。
8. 當然,好多人嘅特色,就係唔為自己嘅決定負責。所以話放寬呢,若果之後仲要跌,就有人話DLLM你仲推人去死(再講一次,邊位拎支槍迫你?你買樓,我或者政府,百力滋都冇一盒回贈畀你喎,邊個引你上車?)。但收緊呢,如果升呢,又係DLLM阻人上車我原本上到都變上唔到(呢個正係之前N年嘅事,而呢類情況係比較值得同情嘅—因為佢真係想做個決定但被阻止)
9. 戴咗咁多頭盔,相信都係廢嘅。但我都係要講,個「壓力測試」,幾時取消呢?唔取消都放寬下。
10. 講真,真係完全唔關我事,我又唔係地產經紀,你買樓我冇著數。我盡量都好透明,我層豆潤屯門樓,2013年買,270萬,而家月供萬一蚊,咁我買嗰時都唔止兩皮半人工啦大佬。況且,都上咗車,就算我失業金管局都唔會查我收入嘅(但你斷供銀行當然會同你跟進)
11. 我亦唔係要「幫人上車」之類,講真,唔係好關我事,我未咁偉大。況且,「送人去死」,好大罪呀。而家人地問我點睇,我多數都話後市十分波動。幾時買得?聽朝九點半咪買得。Why bother?中咗又唔係我有得分,講錯(而其實成日會)又要冒住老母畀人鬧嘅風險。
12. 咁做乜要講?就真係純科學討論,純學術討論。況且亦唔係我第一個講啦,其實一路都有人講。
13. 有人唔知咩係「壓力測試」嘅,好快同講下買樓嘅流程,除非你老豆老母或條仔條仔幫你呼丕,否則都係大同小異:首先,搞掂舊首期,呢舊往往最難。買層平平地嘅樓(當5/6百萬),首置又自住嘅,應該做到九成。五六十萬首期加埋印花稅之類,都唔小嘢,但可能四大長老一齊發功幫到你,或者去買六合彩。
14. 然後呢?仲要你供得起先得,唔係你話自己頂得住,三萬蚊人工供兩萬七,我食樹皮的,就過到骨。作為世界上一流嘅乜乜,金管局當然好關心你。你要過一個收入測試,你供款不能超過你收入某個水平。當然有啲人會造假,甚至有銀行職員教埋人點做假,犯法嘅嘢,我地係唔做嘅。
15. 但過完呢幾關,仲有啲人係最後一關卡住咗,嗰啲就真係唔多甘心。真係唔太多呢啲人(伏線嚟,陣間講),但係有。最後一關
16. 點解咁多關?就要插播一下,唔少人都係唔知個社會點運作嘅。有人以為金管局係應該「令人上到車」,有啲人認為唔係,兩樣都錯。答案係,金管局先唔care!金管局局乜?管銀行,同埋銀行體系。你上唔上到車,甚至蝕唔蝕錢,都唔係佢地打算理嘅嘢—佢地最緊要就係保持銀行體系穩建。唔明?咁講白啲,即係「你輸錢都唔好累到銀行」。實務上點做?就係有個高一高嘅首期要求,高一高嘅收入要求,確保買到樓嘅,就係好高人工,仲係拎到好大舊首期出嚟,有父幹,老母幫你供埋,甚至呼丕嘅人。
17. 明白呢點,就同你講金管局最後一關,我地今日嘅戲肉:壓力測試
18. 壓力測試是甚麼?上面咪講咗收入測試,保證你供款佔收入唔好太高,免得你真係食樹皮甚至食包皮(面包皮呀)。咁壓力測試係甚麼?就係保證,你而家供款佔收入唔好太高,仲要將來加息,供款都唔好佔收入太高。你睇幾咁有遠見。
19. 實際上點實行?就係計埋,如果加息3厘之後,你會變咗要供幾多。要用呢個新供款計,你供款都不能佔收入太多。
20. 大家估到,重點係「如果加息3厘」。,但前世呢?呢舊嘢點出嚟?
21. 唔好話我不停鬧,金管局都係做嘢啫,況且金管局嘅聲譽,在國際上都幾不錯的。幾時爆呢個「如果加息3厘」嘅壓力測試?係2013年,當時吹咗一輪聯儲局會加息,結果去到2015年尾就加—咁其實,X,嗰時零息,係人都知之後係加息啦。不過推出呢個個測試,3年未夠就加,我覺得證明當初佢地判斷都OK(但,扯,咪又係睇Fed Fund Rate Future,睇FOMC會議,我啲讀者都識啦)(你未識?就要訂Ivan Patreon啦)(https://bit.ly/31QmYj7)
22. 然後又點?然後聯儲局由2015年尾開始,加左9次息。2018年尾停。但之後,2019年8月開始減息(原來不過係一年前),然後今年3月尾,環球股災下,即時減到零,一個月減咗1.5厘,等於平時減6次
23. 講完一輪歷史,應該知我想講乜?就係,當初個測試係話「如果加息3厘」。咁你叻仔,2013年後冇耐,真係加咗息,2.25厘。
24. 但,到2019年開始,人人都知減息啦,係咪?2019年8月直頭真減啦。由2018年開始,嗰個「如果加息3厘」嘅假設仲存在。唔止,到而家減到零,都仲存在。到聯儲局擺明話會維持零息到下年年尾甚至下下年年尾(正路更正),呢個「如果加息3厘」都仲存在。
25. 咁借問聲,係咪打算亞視永恒咁?
26. 我覺得公平的,2013年你預加息(再講一次,咪又係睇Fed Fund Rate Future同FOMC Meeting,你估金管局識扶乩咩),所以推咗「如果加息3厘」呢樣嘢。咁但,到預期將來減息呢?即係好極端到話「拿我而家供唔起但減咗息咪供得起」(但,壓力測試就係咁邏輯),但至少,應該變返中性吧。唔中性,都應該放鬆啲吧,對不?
27. 咁你話,喂,將來咁多年,你點知唔會再加息?正好相反!我就係知道好可能會再加,但最初你推「如果加息3厘」,又有冇諗未來咁多年會唔會減息?你個政策係睇見得到嘅未來幾年嘛。至於再遠啲?供層樓30年,你自己睇30年可以發生幾多嘢?有幾多個經濟周期?
28. 留意,我只係講壓力測試呢樣嘢,其他全部冇話要郁。咁你想像到,「其實受惠嘅人唔係好多」。例如文中嘅例子(實數唔使深究,大約),500萬樓,借九成,搞得掂首期嘅,兩公婆3萬7人工就夠過收入測試。但因為有「如果加息3厘」嘅壓力測試,實際上你要4萬9先得。聽落萬幾蚊好似唔係好多,但,有時就係爭嗰皮幾嘢嘛,講緊個收入要求多咗三成幾喎!
29. 如果放鬆咗個壓力測試,或者取消埋,呢個夾層嘅人,就會買到呢層樓。咁其實都真係唔係好多,詳情你自己睇香港家庭收入分佈 — 但正係咁先好,你話如果一下放鬆晒所有樓都九成,甚至十成,就成村人仆去買樓。到時真係一個唔好彩負資產,就唔多好。而家你放鬆或整走個壓力測試,會因為咁買到樓嘅人,又唔係好多啫。「張弛有道」嘛,慢慢嚟。拿,趁而家樓市唔上唔落,就好推啦。
30. 第日真係放嘅,我估都係放呢樣嘢,唔係放首期要求或者印花稅。到時記得係埃汾成功爭取,謝謝。都係嗰句,唔啱聽勿鬧,真係冇人迫你做任何嘢,放寬到零首期,都冇人係拎支槍指住你買樓的。
———————————————————
Ivan Patreon 狼耳街華人,一星期至少三篇港美市場評點,一個月一舊水唔使,開張一個月已500人訂!仲有兩篇免費試睇:https://bit.ly/31QmYj7
李聲揚:按揭壓測何時取消?
【明報專訊】早前小弟和《明報》陸振球兄在明經財經搞了場Facebook Live(可以免費重溫),當中談及香港樓市,今次借專欄再發揮一下。小弟的看法是:除非打算移民,否則負擔得起,仍是應該買自住樓。但投資香港樓(博升值也好收租也好),則並不值博。
日前在《明報》看到同文張宗永兄,提到新加坡的組屋政策,解決大部分人的住屋問題。小弟認為說白一點,就是人人做業主,有stake in society,自然有利社會穩定。
近年香港社會氣氛緊張,已不止是「房屋問題」如此簡單。但小弟固執地相信,若更多人可以自置物業(「上車」),應有助減低社會怨氣(但不能完全消除)。小弟身邊朋友政治取向各有不同,但明顯地最激進的是未有置業的一群。已成為業主的,很多也不滿政府,但不會太激進。
最激進一群多為未有置業
這也適用於年輕人。不少年輕人的確認為「解決房屋問題」不是首要任務,但很可能是因為「上車」太遙遠,索性想也不想。
收入跟不上樓價升幅,年輕人難「上車」,是全世界的問題,民主國家也不能倖免。香港作為大都會,情况當然更嚴峻。若「上車」難度降低,應該仍有機會減低怨氣,政府應該認真考慮。
小弟當然明白政府官員「少做少錯」的心態。看看金管局的各式「辣招」,不少人以為這些「辣招」是為了控制樓價,甚至讓樓價回落──這種想法實在大錯特錯!金管局才不在乎你能否「上車」,也不在乎你是否會損手。他們要保證的是樓價大跌,也不要影響銀行。方法就是提高門檻,保證能夠「上車」的人都是高收入人士,或有富爸爸,更要放下大筆首期,讓銀行有足夠的緩衝。至於閣下死活,不在局方關心範圍。
樓市橫行 放寬措施機會
政府的政策,不能說是全錯。畢竟政府角色很尷尬,民望低迷,現在氣氛下,讓更多人「上車」會被視為推人去死,若樓價急跌,政府必被猛烈批評。但在樓價上升時阻止人「上車」(正是過去10年發生的事情),又會被認為剝奪別人機會。
不過,現屆政府反正如此「打得」,又是否在乎被人批評的風險?再說得白一點,民望反正已經夠低,多一單失誤也影響不大,但若成功幫到更多人「上車」,可能有助民望。樓市升時,政府怕放寬措施令買家摸頂,樓市跌時,又會被批評騙市民去托市。近期樓市橫行,其實正是放寬措施的機會。
說了一輪理論,我們做個案例研究,看看現在的措施如何限制「上車」:假設兩夫妻心儀「上車盤」,500萬的物業,若自住首置兼借按揭保險,可以做到九成按揭。50萬首期,當然不算容易,但若夫妻齊心,再加累積不少財富的「四大長老」適度幫助,仍算可能。以現行按息約2.5厘計算,月供1.9萬左右,夫妻齊齊供,聽落仍可接受。
七成家庭「買不起」500萬樓
不過買樓要過關斬將,除了首期和供款外,還有收入測試和壓力測試。兩夫妻收入要有多高才可以成功「上車」?現行的收入測試,要求供款頂多去到收入50%,所以案例中兩夫妻收入要達到3.7萬以上。還好。
但現實卻是,月入3.7萬元的夫妻,銀行仍然不能批出樓宇按揭!何解?因為還有壓力測試,這也是小弟覺得最不合理的地方。金管局為了確保買家將來也供得起樓,特定要求加息3厘後,買家供款佔收入仍在六成以內。所以兩夫妻收入要達到4.9萬以上才可成功「上車」,收入門檻高了三成多。
全港有多少家庭收入達到4.9萬?答案是兩成多。亦即是,即使只是想買500萬的物業,也有七成多家庭未能做到。我們還未計及新婚夫婦收入不高,當中收入達到4.5萬的,可能只得一成多。
小弟並不「貪心」,只會呼籲政府做一件事:放寬壓力測試,最好取消。原因?小弟認為壓力測試,已完成歷史任務,根本不合時宜。
壓測假設加息3厘「完全離地」
看看背後邏輯,金管局假設利息會再加3厘。讀者不用十分貼市,都知道美國聯儲局3月狠狠減息,並預期零息環境維持一段長時間。請問何來加息3厘?
金管局最初推出此項要求是2013年,當時市場預期聯儲局將會加息,事實聯儲局後來的確加息9次,證明當時金管局的要求算是合理。但時移世易,聯儲局過去兩年已將息口重新減至零。那請問金管局,為何預料美國加息時推出壓力測試,但到息口勁減以後,卻完全沒有放寬?
在我們的例子中,只要取消壓力測試,「上車」要求的收入會變成3.7萬元,而非4.9萬元。這會令收入在此區間的家庭不再望門興嘆,但也不是中門大開(有六成家庭收入不足3萬元),正適合政府「張弛有道」的作風。
——————————————————————————
[收費短片第九擊]美股科技股是否泡沫爆破?價值投資之選
課程資訊:https://homebloggerhk.com/course_detail/?code=CC009
內容:
*美股急跌點算好
*科技股係咪泡沫爆煲?
*有乜價值投資之選?
本星期內特惠售價: $80
課程編號:CC009
觀看期限:首次播放後一星期及限每影片4次
客服whatsapp: 63832145
另外想買返第八擊(美國總統大選股票部署)都仲可以:https://bityl.co/3NPn
fed fund rate 在 RagaFinance財經台 Youtube 的最佳解答
www.RagaFinance.com
RagaFinance Facebook:
https://www.facebook.com/ragafin/
《Calvin直播室》眾籌計劃 ?
http://patreon.com/calvinchoy
◎◎◎訂閱 ◎◎◎▶Ragazine : https://www.youtube.com/channel/UC5DWcqCjBne2-wRnrjxkuHQ ▶Raga Finance: https://www.youtube.com/c/RagazineFinanceVideo▶Giggs.hk: https://www.youtube.com/channel/UCVZTkv6LM-_xWUM9t-jS5JA
※※※想知道我們每天的動向※※※ ▶Web http://www.ragazine.com.hk/▶
Web http://www.ragafinance.com/
▶
Web http://www.giggs.hk
▶
FB (Ragazine) : https://www.facebook.com/www.ragazine.com.hk/
▶
FB (Raga Finance) : https://www.facebook.com/ragafin/
▶
FB (Giggs,hk) : https://www.facebook.com/www.giggs.hk
▶
IG ( https://www.instagram.com/ragazinehk/
◆◆◆工商聯絡◆◆◆ ▶
E-MAIL : ragazine@ragazine.com.hk
fed fund rate 在 楊世光在金錢爆 Youtube 的精選貼文
金錢爆拉群表單請點擊:
https://docs.google.com/forms/d/1O-J7LSDU9UOEuM5byMgm5bDGm2ILUk7tdHgj2SwI4Qk/edit
-------------------------------------------------------
記得打開頻道鈴鐺🔔 光速接收光光資訊
✨追光者請關注✨
世光Line官方帳號➡ http://nav.cx/2NuwkCF
世光YouTube頻道➡ https://bit.ly/2LIEdOE
世光Facebook粉專➡ https://bit.ly/2kmLbM9
世光微博➡ https://bit.ly/33h6Bfv
世光Instagram➡ https://bit.ly/2JaDyRo
#楊世光
fed fund rate 在 Banking 15: More on the Fed Funds Rate - YouTube 的美食出口停車場
... <看更多>