รู้จัก Creative Artists Agency ซูเปอร์เอเจนต์ดารา นักกีฬาและประธานาธิบดี /โดย ลงทุนแมน
ส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาหรือนักแสดงชื่อดังระดับโลก
เวลาติดต่อประสานงานหรือเจรจาต่อรองผลประโยชน์
พวกเขามักจะมีตัวแทนหรือนายหน้าคอยบริหารจัดการให้
นั่นจึงเป็นที่มาของบริษัท Creative Artists Agency
ธุรกิจที่มีหน้าที่คอยดูแลผลประโยชน์ให้กับลูกค้าคนดังทั้งหลายในวงการ
ซึ่งก็มีตั้งแต่ Tom Cruise, Lady Gaga, David Beckham, Cristiano Ronaldo ไปจนถึง Joe Biden
แล้วทำไมบริษัทแห่งนี้ถึงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากคนดังจากแทบทุกวงการ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Creative Artists Agency หรือ CAA ก่อตั้งขึ้นในปี 1975 โดย 5 นายหน้าหัวกะทิ
จากบริษัทชื่อดังและมากอิทธิพลในวงการ Hollywood อย่าง William Morris Agency
โดยผู้ก่อตั้งทั้ง 5 คน ก็คือ Michael S. Rosenfeld, Michael Ovitz, Ronald Meyer, William Haber และ Rowland Perkins รู้สึกไม่พอใจกับค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการเติบโตในหน้าที่การงานที่ล่าช้า ส่งผลให้พวกเขาวางแผนก่อตั้งบริษัทตัวแทนขึ้นมาเอง
แม้ว่าจะมีเงินทุนไม่เพียงพอ แต่พวกเขาก็ได้กู้ยืมจากธนาคารราว 2 ล้านบาท ซึ่งก็ถูกกระจายไปเช่าสำนักงานและรถยนต์ 2 คัน
และงานแรกภายใต้บริษัทที่ทั้ง 5 นายหน้าก่อตั้งขึ้น ก็คือ การเป็นนายหน้าให้กับรายการเกมโชว์และซีรีส์ทางโทรทัศน์
ด้วยความที่ CAA ยังคงเป็นบริษัทขนาดเล็กและมีระบบการทำงานที่เน้นทำงานเป็นทีม
พนักงานจึงไม่มีป้ายชื่อ ไม่มีตำแหน่ง และไม่มีการแบ่งแยกว่าใครดูแลลูกค้าคนไหน
ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้รับการดูแลอย่างเต็มที่จากทุกคนในบริษัท
โดยในช่วงแรก พวกเขารุกตลาดอย่างหนัก ทั้งการตัดราคาค่าธรรมเนียม
การเข้าแย่งลูกค้าจากคู่แข่งและการขยายบริการของบริษัท ให้ครอบคลุมทุกส่วนงานมากขึ้น
ส่งผลให้ CAA สามารถขึ้นมาเป็นบริษัทตัวแทนอันดับ 3 ของ Hollywood ด้วยระยะเวลาเพียง 4 ปี เท่านั้น
ปี 1988 CAA กลายมาเป็นบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือและสามารถทำรายได้กว่า 6,000 ล้านบาท
โดยบริษัทเป็นนายหน้าให้กับ นักแสดง คนเขียนบท และผู้กำกับกว่า 500 ชีวิต รวมถึงยังมีส่วนร่วมในการสร้างสื่อบันเทิงต่าง ๆ ทั้งทีวี ซีรีส์ เกมโชว์ และภาพยนตร์ กว่า 100 รายการต่อปี
และด้วยวิธีการทำงานของพวกเขาที่รักษาผลประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า ทำให้เหล่าบรรดานายทุนและสตูดิโอใน Hollywood ต่างก็ไม่พอใจ CAA
เพราะมองว่าบริษัทแห่งนี้ดันค่าตัวของดารานักแสดงสูงเกินความเป็นจริงทำให้ต้นทุนในการสร้างสูงขึ้น
จนถึงขนาดที่มีการกล่าวหาว่า CAA กำลังทำลายวงการ Hollywood
อย่างไรก็ตาม การยึดผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ ก็ได้กลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ CAA เติบโตเป็นบริษัทที่ใหญ่ขึ้น
โดยในปี 1990 CAA ก็ได้เริ่มรุกเข้าสู่การเป็นนายหน้าดีลทางธุรกิจที่ใหญ่
เช่น ดีล Sony ที่เข้าซื้อ Columbia Pictures ด้วยมูลค่าสัญญากว่า 210,000 ล้านบาท
หรือการให้คำแนะนำบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น Matsushita Electric Industrial ในการเข้าซื้อ MCA ซึ่งเป็นเจ้าของ Universal Studios ด้วยสัญญามูลค่ากว่า 410,000 ล้านบาท
นอกจากทางด้านสื่อบันเทิงแล้ว CAA ยังได้ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์อีกหลายแบรนด์ดัง
ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับ Coca-Cola ในการเป็นที่ปรึกษาทางด้านสื่อสำหรับการทำการตลาดทั่วโลก
หรือการร่วมมือกับ Nike ในการผลิตสื่อบันเทิงระดับโลกทางด้านกีฬาเพื่อเผยแพร่ผ่านทีวีดาวเทียม
แต่ความรุ่งเรืองของ CAA ก็ต้องหยุดพักตัว เพราะในปี 1995 อดีตสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งบริษัททั้ง 5 คน
ต่างแยกย้ายไปยังเส้นทางใหม่ของตนเอง โดยเฉพาะ Michael Ovitz ซึ่งเป็นแกนนำหลักของทีม
ได้ย้ายไปเป็นผู้บริหารระดับสูงของ The Walt Disney Company ที่ดูแลทั้งส่วนของภาพยนตร์ สวนสนุก และธุรกิจค้าปลีก
ทำให้ในช่วงเวลานั้น เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ CAA กลายเป็นบริษัทที่อ่อนแอและเปิดโอกาสให้บริษัทตัวแทนอื่น ๆ ในวงการได้แจ้งเกิดและแย่งส่วนแบ่งในตลาดไปได้
ในขณะเดียวกัน CAA ยังมีคดีความฟ้องร้องกับบริษัทคู่แข่งมากมาย
แต่บริษัทก็ต่อสู้และยังคงเอาตัวรอดต่อไปได้
หลังจากผ่านมรสุมมาได้แล้ว
CAA จึงมองหาอุตสาหกรรมใหม่และก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการกีฬา
ซึ่งจุดนี้เองก็ได้ทำให้บริษัทฟื้นคืนชีพและกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่ง
โดยผลงานในช่วงเริ่มแรกของพวกเขานั้น ถือว่าใหญ่มากสำหรับเอเจนซีรายใหม่ของวงการกีฬา
ยกตัวอย่างเช่น การให้คำปรึกษากับคณะกรรมการโอลิมปิกสากลเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ทางด้านสื่อสำหรับการแข่งขันในปี 2012
การรับผิดชอบงานขายสปอนเซอร์ให้กับทีมเบสบอล New York Yankees ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท
การดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับนักกีฬาระดับโลกอย่าง Cristiano Ronaldo
และดีลที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกให้ CAA คือการเป็นตัวแทนที่ดูแลลิขสิทธิ์การออกอากาศฟุตบอลยูฟ่า
ที่ไม่ว่าจะเป็นประเทศในอเมริกาใต้ เอเชีย หรืออเมริกา ก็ต้องจ่ายเงินให้กับ CAA เพื่อสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดการแข่งขัน
และดีลนี้ ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นใบเบิกทางที่ทำให้ CAA ได้รับงานจากรายการแข่งขันฟุตบอลใหญ่อย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น European Championship และ FIFA World Cup
ปัจจุบัน CAA มีลูกค้าหลากหลายวงการ ทั้งดนตรี สื่อภาพยนตร์ กีฬา ภาคธุรกิจ และยังมีลูกค้าคนดังมากมายจากทุกวงการ เช่น Tom Cruise, Lady Gaga, David Beckham หรือแม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่าง Joe Biden เองก็เคยใช้บริการ CAA ในปี 2017
โดย Forbes ได้จัดอันดับให้ CAA เป็นบริษัทเอเจนซีอันดับ 1 ในวงการกีฬา ด้วยมูลค่าสัญญาในปี 2020 กว่า 2.7 แสนล้านบาท นับปีที่ปรากฏในสัญญารวมกันยาวนานถึง 1,750 ปี จากลูกค้าทั้งสิ้น 828 ราย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.referenceforbusiness.com/history2/94/Creative-Artists-Agency-LLC.html
-https://www.nytimes.com/2016/07/31/sports/power-house-caa-hollywood-creative-artists-agency.html
-https://www.wsj.com/articles/SB10001424052702304419104579322721786447490
-https://en.wikipedia.org/wiki/Creative_Artists_Agency#cite_note-twsPeopleMag1-40
-https://www.wsj.com/articles/head-of-caa-says-talent-giants-diversifying-interests-still-interconnect-1456864546
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Creative_Artists_Agency_clients
-https://apnews.com/article/7defa5c0d0f042ae9573ef96cb7ac71d
-https://www.forbes.com/sports-agencies/list/#header:yearsToPayback_sortreverse:true
biden wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
รู้จัก G7 ขั้วมหาอำนาจโลก ที่กำลัง แลกหมัดกับจีน /โดย ลงทุนแมน
1,228 ล้านล้านบาท คือ GDP ในปีที่ผ่านมา ของ 7 ประเทศ ในกลุ่ม G7 รวมกัน
2,620 ล้านล้านบาท คือ GDP ในปีที่ผ่านมา ของทุกประเทศในโลกรวมกัน
เท่ากับว่าขนาดเศรษฐกิจของเพียงแค่ 7 ประเทศในกลุ่มนี้
คิดเป็น “เกือบครึ่ง” ของขนาดเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา
ทั้ง ๆ ที่มีประชากรรวมกันแค่ประมาณ 773 ล้านคน หรือประมาณ 10% ของประชากรโลกเท่านั้น
กลุ่ม G7 มีประเทศอะไรบ้าง เกิดขึ้นมาอย่างไร
แล้วทำไมถึงบอกว่ากำลังแลกหมัดกับจีน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
แคนาดา
ฝรั่งเศส
เยอรมนี
อิตาลี
ญี่ปุ่น
สหราชอาณาจักร
สหรัฐอเมริกา
นี่คือรายชื่อ 7 ประเทศ ที่รวมตัวกันเป็น “Group of Seven” หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า กลุ่ม G7
ซึ่งถ้าเราลองไปเปิดดูตัวเลข GDP ของแต่ละประเทศ ทั้ง 7 รายชื่อนี้ จะอยู่ใน Top 10 ของประเทศที่ GDP มากสุดในโลก
และถ้าเอา GDP ของ 7 ประเทศมาบวกรวมกัน
ก็จะคิดเป็น 47% ของขนาดเศรษฐกิจโลก
นอกจากจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กันทุกประเทศแล้ว
รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรในประเทศเหล่านี้
ก็ล้วนแล้วแต่อยู่แนวหน้าของโลกทั้งสิ้น
พูดง่าย ๆ ว่า นี่คือสมาคมประเทศร่ำรวย อย่างแท้จริง..
แล้วประเทศเหล่านี้ มารวมตัวกันได้อย่างไร ?
จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งกลุ่มนี้อย่างเป็นทางการ ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 1973
ช่วงนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น นั่นคือ วิกฤติการณ์น้ำมัน หรือ “Oil Shock”
สรุปเหตุการณ์แบบคร่าว ๆ ก็คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ไปมีปัญหากับกลุ่ม OPEC ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก
ปัญหาที่ว่าก็คือ 4 ประเทศนี้ ไปสนับสนุนอิสราเอล ที่กำลังทำสงครามกับกลุ่มชาติอาหรับ ที่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นสมาชิกกลุ่ม OPEC
พอเรื่องเป็นแบบนี้ กลุ่ม OPEC จึงระงับการส่งออกน้ำมันไปยังประเทศที่สนับสนุนอิสราเอล ทำให้ประเทศเหล่านี้เจอวิกฤติขาดแคลนน้ำมัน และราคาน้ำมันพุ่งสูงหลายเท่าตัวในช่วงเวลาไม่นาน ซึ่งทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ ไปจนถึงระดับทวีป และระดับโลก เป็นปัญหาลูกโซ่ตามมา
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เริ่มลุกลามเป็นวงกว้างไปในระดับโลก
ทำให้ 6 ประเทศมหาอำนาจในตอนนั้น
ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี (สมัยนั้นยังเป็น เยอรมนีตะวันตก), ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น และอิตาลี
จัดการประชุมร่วมกันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในปี 1975
เพื่อหาทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปข้างหน้า
และตกลงกันว่า “เราจะมาร่วมหารือกันแบบนี้ทุก ๆ ปีต่อจากนี้”
อีกหนึ่งปีต่อมา มีอีกชาติมหาอำนาจเข้าร่วมกลุ่ม นั่นก็คือ แคนาดา
เป็นอันสรุปว่า Group of Seven หรือ G7 ครบองค์ประชุมตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมา..
ในช่วงแรก ตัวแทนของแต่ละประเทศที่เข้าร่วมประชุม ยังเป็นเพียงแค่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
แต่หลัง ๆ มาเรื่องที่ประชุมกันแต่ละปี ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น
ยังรวมไปถึงเรื่องความมั่นคงทางการทหาร, โรคระบาด, สุขอนามัย, การศึกษา ไปจนถึงปัญหาความยากจน และเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นระดับโลกในแต่ละปี
ทำให้ต่อมา ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศ จะเป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุม
โดยในแต่ละปี กลุ่ม G7 ก็มักจะเชิญหลายประเทศนอกกลุ่ม และตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง EU, World Bank และ IMF ให้มาเข้าร่วมการประชุม ตามวาระที่สำคัญของช่วงเวลานั้น
เช่น ในปี 2008 มีการเชิญตัวแทนประเทศในเอเชียอย่าง เกาหลีใต้และอินโดนีเซีย ให้เข้าร่วม เพื่อแลกเปลี่ยนสถานการณ์เศรษฐกิจในเอเชีย
หรือในปี 2011 ที่มีการเชิญหลายประเทศในทวีปแอฟริกาอย่าง กินี, ไนเจอร์, โกตดิวัวร์ และตูนิเซีย ให้มาร่วมพูดคุยเรื่องปัญหาความยากจนในแอฟริกา
และล่าสุด การประชุม G7 ในปีนี้ ก็เพิ่งจัดขึ้นเมื่อ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมาที่สหราชอาณาจักร
โดยสมาชิกในกลุ่มก็มีข้อตกลงร่วมกันในหลายเรื่อง อย่างเช่น
- ตกลงจะร่วมกันมอบวัคซีนอย่างน้อย 1,000 ล้านโดส ให้ประเทศรายได้ต่ำที่ต้องการวัคซีนเร่งด่วน
- เริ่มต้นผลักดันประเทศในกลุ่มและนอกกลุ่ม ให้มีการเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เพื่อยุติปัญหาการหลบเลี่ยงภาษีผ่านการนำบริษัทไปจดทะเบียนในประเทศที่เก็บภาษีอัตราต่ำ
แต่เรื่องที่เป็นไฮไลต์สุดของการประชุมครั้งนี้
คือการเปิดตัวโครงการ “Build Back Better World” หรือ B3W
โครงการที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรในกลุ่ม G7 ใช้เป็นคำประกาศกร้าวว่า
จะไม่ยอมให้คู่แข่งคนสำคัญอย่าง “จีน”
ก้าวขึ้นมามีอิทธิพล หรือก้าวมาเป็นอีกขั้วมหาอำนาจโลกได้ง่าย ๆ
ก่อนหน้านี้เราได้ยินกันมาตลอด ว่าจีนมีโครงการ “Belt and Road Initiative” หรือ BRI
ซึ่งเป็นเหมือนการขยายอิทธิพลและสร้างพันธมิตรผ่านการไปร่วมลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศต่าง ๆ ตามเส้นทางสายไหมที่เคยรุ่งเรืองในอดีต จากตะวันออกของโลกคือจีน ไปสู่ฟากโลกตะวันตก
ส่วนโครงการ B3W ของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร G7 ก็จะเน้นเข้าไปมีส่วนร่วมและสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในกลุ่มประเทศรายได้น้อยถึงรายได้ปานกลาง ตั้งแต่ตะวันตก ลากยาวไปตะวันออก
และ G7 เคลมว่า B3W ของพวกเขา พิเศษกว่า BRI ของจีน
เพราะของที่สร้างโดยการสนับสนุนของ G7 จะมีคุณภาพกว่า
มีกระบวนการสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่า
ไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน สนับสนุนภาคเอกชนให้มีส่วนร่วม
ไม่มีเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน สนับสนุนความเท่าเทียม และที่สำคัญคือสนับสนุนโดยกลุ่มนิยมประชาธิปไตย อย่าง G7..
ขณะที่โฆษกสถานทูตจีนประจำกรุงลอนดอน
ก็โต้กลับมติประชุมของกลุ่ม G7 ทันทีว่า
ให้เลิกกล่าวอ้าง กล่าวหาจีนในเรื่องต่าง ๆ เสียที
และยังโต้กลับในทำนองที่ว่า “มันหมดยุคที่โลกถูกนำโดยบางกลุ่มประเทศไปแล้ว”
จะเห็นว่า 2 ขั้วอำนาจโลกในตอนนี้ กำลังปล่อยหมัดหนักแลกใส่กันไปมา อย่างไม่มีใครยอมใคร
เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายครองอำนาจโลกแต่เพียงผู้เดียวได้โดยง่าย
ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มมหาอำนาจโลกเดิมอย่าง G7
ที่ยังคงมีความสำคัญมากกับทั้งโลก ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และขนบธรรมเนียมโลกแบบเดิมที่ทั่วโลกคุ้นชินมาหลายทศวรรษ
ส่วนอีกฝ่ายคือจีน ที่เป็นประเทศคู่ค้าของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศในกลุ่ม G7 เอง และขนาดเศรษฐกิจของจีนกำลังจะขึ้นแท่นเบอร์ 1 ของโลกแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในเร็ว ๆ นี้
ในขณะเดียวกันจีนก็กำลังเดินหน้าท้าชิงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม
และเดินหน้าสร้างพันธมิตร สร้างอิทธิพลตามแผนที่วางไว้
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่น่าสนใจ
ในอดีต G7 เคยขยายเป็น G8 โดยอีกประเทศที่เพิ่มเข้ามาคือ รัสเซีย ที่เข้าร่วมตั้งแต่ปี 1997
แต่หลังจากที่รัสเซียทำการผนวกไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ในปี 2014
ก็ทำให้ประเทศสมาชิกที่เหลือไม่พอใจ และไม่เชิญรัสเซียเข้าร่วมการประชุมอีกเลย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://statisticstimes.com/economy/projected-world-gdp-ranking.php
-https://www.g7uk.org/what-is-the-g7/
-https://en.wikipedia.org/wiki/1973_oil_crisis
-https://www.blockdit.com/posts/60c89d166ea44e0c5adf9455
-https://thestandard.co/g7-summit-summary/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Group_of_Seven
-https://www.whitehouse.gov/briefing-room/statements-releases/2021/06/12/fact-sheet-president-biden-and-g7-leaders-launch-build-back-better-world-b3w-partnership/
-https://www.ndtv.com/world-news/small-groups-dont-rule-the-world-china-cautions-g7-2462751
biden wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
สรุปเส้นทาง โจ ไบเดน ฉบับสมบูรณ์ /โดย ลงทุนแมน
“โจ ไบเดน” ชื่อนี้ คงเป็นชื่อที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในเวลานี้
ชายวัยใกล้ครบ 78 ปีคนนี้ คือคนที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา
และกำลังจะเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลกในอีกอย่างน้อย 4 ปีข้างหน้า
เส้นทางของ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา ที่นามว่า โจ ไบเดน เป็นอย่างไร?
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
แค่เปิด Radars Point ก่อนช้อปออนไลน์ เพื่อเป็นเจ้าของแผนลงทุนหุ้นได้เลย
ดาวน์โหลดที่นี่ : https://radarspoint.page.link/longtunman
╚═══════════╝
โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ (Joseph Robinette Biden Jr.) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “โจ ไบเดน” เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1942 ณ เมือง Scranton รัฐเพนซิลเวเนีย รัฐหนึ่งทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา
ไบเดน เป็นลูกชายคนโตสุดในครอบครัว ซึ่งเขามีน้องชายอีก 2 คน และน้องสาวอีก 1 คน
เมื่ออายุได้ 10 ขวบ ครอบครัวของ ไบเดน ย้ายจากเพนซิลเวเนีย ไปอยู่ที่รัฐเดลาแวร์
เขาเติบโตขึ้นที่เดลาแวร์ และได้ศึกษาระดับปริญญาตรีคณะศิลปศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ จาก University of Delaware ในปี 1965
ปี 1966 ขณะอายุ 24 ปี โจ ไบเดน แต่งงานกับ Neilia Hunter ก่อนจะมีลูกด้วยกัน 3 คน
ไบเดน ตัดสินใจศึกษาปริญญาตรีอีกใบในด้านกฎหมาย และสำเร็จการศึกษาจาก Syracuse University College of Law ในรัฐนิวยอร์ก ในปี 1968
เรื่องที่น่าสนใจก็คือ โจ ไบเดน เริ่มก้าวขาเข้าสู่งานด้านการเมือง ด้วยการชักชวนจากสมาชิกพรรค “รีพับลิกัน”
เมื่อเรียนจบด้านกฎหมาย โจ ไบเดน เข้าทำงานในสำนักงานกฎหมายวิลมิงตัน ซึ่งเป็นสำนักงานกฎหมายที่มีเจ้าของเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน
โจ ไบเดน แสดงความสามารถเรื่องกฎหมายได้เข้าตา จนนักการเมืองฝั่งรีพับลิกันชักชวนให้เขาเข้ามาทำงานด้านการเมือง
แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวคือ เขาไม่ชอบนโยบายของ Richard Nixon ผู้นำพรรครีพับลิกันในตอนนั้น เขาจึงตัดสินใจทำงานการเมืองด้วยสังกัด “พรรคอิสระ” คือไม่สังกัดพรรคใดๆ เลย
ต่อมาในปี 1969 โจ ไบเดน ได้เข้าทำงานกับสำนักงานกฎหมายที่นำโดยสมาชิกพรรคเดโมแครต เขาทำผลงานได้เข้าตาอีกครั้ง และตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต
ซึ่งคราวนี้ เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเขต นิว คาสเซิล เคาน์ตี้ ในรัฐเดลาแวร์ หลังจากเข้าร่วมพรรคเดโมแครตได้เพียงไม่ถึงหนึ่งปี
หลังจากสั่งสมประสบการณ์ด้านการเมืองได้ 4 ปี จุดเปลี่ยนสำคัญของ โจ ไบเดน ก็มาถึง
ช่วงปลายปี 1972 ขณะที่อายุ 29 ใกล้ 30 ปี
โจ ไบเดน ได้รับการเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐเดลาแวร์
ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในวุฒิสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา
แต่ชัยชนะและความสำเร็จอันน่ายินดีของเขาในตอนนั้น กลับตามมาด้วยโศกนาฏกรรมของครอบครัวอย่างที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว..
ช่วง ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นเอง เพียงไม่ถึงเดือนหลังจากชัยชนะที่ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์
ภรรยาและลูกๆ ของโจ ไบเดน ประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรง
เหตุการณ์นี้ ทำให้ภรรยาและลูกสาวคนสุดท้องของเขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และขณะนำส่งโรงพยาบาลในวันนั้น
ขณะที่ลูกชายทั้งสอง บาดเจ็บสาหัสจนต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน
เรื่องนี้ทำให้ โจ ไบเดน ต้องปฏิญาณตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งวุฒิสมาชิก ที่ข้างเตียงของลูกๆ ในโรงพยาบาล
และเดินทางไปมาระหว่างทำเนียบขาวในรัฐวอชิงตัน ดี.ซี. และโรงพยาบาลในเมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ที่อยู่ห่างกันกว่า 190 กิโลเมตร เกือบทุกวัน เพื่อทำงานและกลับมาเจอหน้าลูกๆ
จนเมื่อลูกๆ โตขึ้นและเข้าโรงเรียน
ในปี 1975 โจ ไบเดน ก็ได้พบรักกับคุณครูสอนภาษาอังกฤษ
และได้ตกลงแต่งงานกันในอีกสองปีถัดมา
ภรรยาคนที่สองของเขาที่ว่านี้ ชื่อว่า จิลล์ ไบเดน
และเธอคนนี้เอง ที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็น “สตรีหมายเลข 1” คนใหม่ของสหรัฐอเมริกา
จากจุดเริ่มต้นการเป็นวุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์ในปี 1973 ของโจ ไบเดน
รู้หรือไม่ว่า เขาได้รับการเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐแห่งนี้ ติดต่อกันถึง 6 สมัย คือช่วงปี 1973-2009 ซึ่งรวมแล้วเป็นเวลาถึง 36 ปี เลยทีเดียว
โดยหน้าที่ ที่โดดเด่นของเขา ขณะดำรงตำแหน่งนี้ เช่น
- เป็นประธานและสมาชิก ในคณะกรรมการตุลาการวุฒิสภา (The Senate Judiciary Committee)
ซึ่งมีบทบาทในการดูแลการทำงานของกระทรวงยุติธรรมในสหรัฐฯ, เสนอชื่อตุลาการ และคอยตรวจสอบทบทวนกฎหมายที่รอการดำเนินการอนุมัติ
- เป็นประธานและสมาชิก ในคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภา (The Senate Foreign Relations Committee)
โดย โจ ไบเดน เป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทความสำคัญ ในการเดินทางไปเยือน และสร้างความสัมพันธ์กับนานาประเทศ
ไบเดน ยังเคยรับหน้าที่เป็นประธานร่วม (co-chairman) ขององค์การ NATO
ที่ทำหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยในเรื่องสงครามและการก่อการร้าย โดยเฉพาะในยุโรปและตะวันออกกลาง
ด้วยประสบการณ์ด้านการเมืองอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 1973 จนถึงปี 2009 ทำให้ผลงานและชื่อเสียงของ โจ ไบเดน ไปชนะใจของอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา จากพรรคเดโมแครต
โจ ไบเดน จึงได้รับเลือกจาก โอบามา ให้เป็น “รองประธานาธิบดี” ในทั้งสองสมัยที่ โอบามา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในปี 2009-2017
หลังสิ้นสุดการทำหน้าที่ 8 ปี ในฐานะรองประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาว
โจ ไบเดน ได้กลับมาที่รัฐเดลาแวร์อีกครั้ง
พร้อมก่อตั้งหลายมูลนิธิเพื่อผู้ขาดแคลนโอกาสและประสบความทุกข์ยากในสหรัฐฯ
เช่น กองทุนเพื่อการต่อสู้โรคมะเร็ง เนื่องจากในปี 2015 ลูกชายคนโต “Beau Biden” วัย 46 ปี ก็เพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมอง
ในเดือนเมษายน ปี 2019 โจ ไบเดน เลือกที่จะสร้างความท้าทายครั้งใหม่ให้ตัวเองอีกครั้ง
ด้วยการประกาศลงสมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา
แล้วทุกอย่างก็เดินทางมาจนถึงวันนี้
เขากำลังจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ในวัยกำลังจะครบ 78 ปี ในฐานะตัวแทนจากพรรคเดโมแครต หลังจากมีการเผยผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ (Projected Winner)
โดย โจ ไบเดน มีจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral College มากกว่า 270 เสียง เอาชนะ ดอนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ไปได้
ทำให้ โจ ไบเดน จะสร้างสถิติใหม่ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุดขณะได้รับเลือก (ซึ่งเจ้าของสถิติเดิมก็คือ ดอนัลด์ ทรัมป์ ที่มีอายุ 70 ปี ขณะเข้ารับตำแหน่ง)
และหลังจากนี้ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า
โจ ไบเดน จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เศรษฐกิจและการเมืองโลกไปในทิศทางไหน ในฐานะที่สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์หนึ่งในเรื่องขนาดเศรษฐกิจในโลกใบนี้
ซึ่งเราคงได้เห็นทิศทางการดำเนินนโยบาย ที่แตกต่างออกไปจากสี่ปีที่ผ่านมาไม่น้อย
เพราะ โจ ไบเดน ได้นำเสนอนโยบายต่างๆ ในช่วงหาเสียง ที่ค่อนข้างสวนทางกับทางฝั่ง ดอนัลด์ ทรัมป์
โดยนโยบายที่น่าสนใจของ โจ ไบเดน ก็อย่างเช่น
- ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ซึ่งจะใช้งบประมาณโครงการกว่า 21 ล้านล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน, การสื่อสารด้วย 5G, รถยนต์ไฟฟ้า และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- เพิ่มภาษีนิติบุคคล จาก 21% เป็น 28% ขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อัตราสูงสุดเป็น 39.6% จากเดิมอยู่ที่ 37% และเตรียมเก็บภาษี Capital Gain ในอัตราเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี
จะเห็นว่า โจ ไบเดน มีความเห็นสวนทางกับ ดอนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องจัดเก็บภาษี
โดย โจ ไบเดน มองว่าสหรัฐฯ ควรเก็บภาษีได้มากขึ้น เพื่อนำเงินภาษีที่ได้ไปกระจายการพัฒนาประเทศให้ครอบคลุมคนอเมริกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องสาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน และบริการสาธารณะต่างๆ
ส่วน ดอนัลด์ ทรัมป์ มองต่างกัน คือเน้นเก็บภาษีนิติบุคลลในอัตราต่ำ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเติบโตและแข่งขันอย่างเต็มที่ในภาคธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต การจ้างงาน และความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ
นอกจากนี้ โจ ไบเดน ยังให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียน อีกทั้งจะนำสหรัฐฯ กลับสู่ข้อตกลงปารีส และผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ยุติการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2050
แตกต่างกับนโยบายของ ดอนัลด์ ทรัมป์ ที่จะยังคงใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำมันและถ่านหิน
นโยบายอื่นๆ ที่น่าสนใจ ก็เช่น เปลี่ยนจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน มาเป็นพันธมิตรกับนานาประเทศ เพื่อกดดันจีนแทน และนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้แรงงานในสหรัฐฯ ขึ้นอีกเท่าตัว
ส่วนความท้าทายที่รออยู่ของ โจ ไบเดน ก็คงมีอยู่ไม่น้อย
ทั้งเรื่องวิกฤติโรคระบาด ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านสาธารณสุข และเศรษฐกิจภายในประเทศ
และความท้าทายในด้านเศรษฐกิจรวมถึงการค้าโลก ที่ตอนนี้ จีน กำลังตีตื้นสหรัฐอเมริกาขึ้นมาใกล้ทุกที ทั้งด้านเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี
ก็น่าสนใจว่า
บทบาทของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลก
จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่
ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อว่า “โจ ไบเดน”..
╔═══════════╗
แค่เปิด Radars Point ก่อนช้อป เพื่อเป็นเจ้าของแผนลงทุนหุ้นเหล่านี้ได้เลย! ทั้ง Apple, Starbucks, Facebook, Google, Amazon, Netflix ฯลฯ อีกมากมาย ได้ทั้งช้อปและได้ลงทุนด้วย
.
📌 ปักหมุดเทศกาลช้อปออนไลน์ 11.11 นี้ไว้ อย่าลืมเปลี่ยนทุกการช้อปให้เป็นการลงทุนผ่าน Radars Point ลงทุนง่ายๆ ด้วยการช้อปปิ้งออนไลน์
.
พิเศษ! สำหรับผู้อ่านลงทุนแมน เพียงกรอกโค้ดลับ LTM8 รับฟรี 8 Point นำไปเริ่มต้นลงทุนได้ฟรีทันที!
.
ดาวน์โหลดที่นี่ : https://radarspoint.page.link/longtunman
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://blog.radarspoint.com/radars-point/
╚═══════════╝
References
-https://joebiden.com/joes-story/
-https://www.whitehouse.gov/about-the-white-house/the-legislative-branch/#:~:text=Since%20then%2C%20they%20have%20been,of%20the%20state%20they%20represent.
-https://en.wikipedia.org/wiki/Joe_Biden
-https://www.thansettakij.com/content/world/455586?utm_source=homepage&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=debate_usa63
-https://ana-neurosurgery.com/biden-brain-cancer/
-https://thestandard.co/compare-trump-biden-policy/
biden wiki 在 Joe Biden Launches His Campaign For President - YouTube 的美食出口停車場
The Democratic Party's nominee, former vice president Joe Biden, defeated incumbent Republican president Donald Trump in the presidential ... ... <看更多>