กรณีศึกษา LeBron James นักบาสที่ทำธุรกิจ ระหว่างเล่นบาส /โดย ลงทุนแมน
“LeBron James” ถูกยกย่องให้เป็นตำนานบาสเกตบอล NBA
แม้ว่าปัจจุบันเขาก็ยังคงลงสนามแข่งขันอยู่
ซึ่งนอกจากในด้านกีฬาแล้ว รู้หรือไม่ว่าเขายังเป็นเจ้าของและได้เข้าไปลงทุนในอีกหลายธุรกิจ
รวม ๆ กันแล้ว มีมูลค่าระดับหมื่นล้านบาท
แต่กว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จทั้งด้านการแข่งขันกีฬาและธุรกิจ
ในวัยเด็ก LeBron James ก็เรียกได้ว่ามีต้นทุนติดลบตั้งแต่เกิด
แล้วเขาเปลี่ยนต้นทุนติดลบให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
LeBron James เกิดในปี ค.ศ. 1984 ที่เมืองเอกรอน รัฐโอไฮโอ
เขาเกิดในขณะที่แม่ของเขามีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น
ส่วนพ่อของเขาก็ติดคุกและไม่เคยได้พบหน้ากันตั้งแต่เด็ก
นอกจากปัญหาของพ่อแม่แล้ว ชีวิตในวัยเด็กของเขาถือว่ามีต้นทุนที่ติดลบกว่าเด็กคนอื่น ๆ อย่างมาก
เริ่มตั้งแต่เมืองที่เขาเกิด..
ในการสำรวจจัดอันดับเมืองที่น่าหดหู่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา
เอกรอน คลีฟแลนด์ และอีกหลายเมืองในรัฐโอไฮโอ มักจะติดอันดับต้น ๆ อยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก ปัญหาคอร์รัปชัน ไปจนกระทั่งความล้มเหลวทางการกีฬา
ที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ในกีฬาประเภทใดได้เลยมายาวนานกว่า 50 ปี
ชีวิตในวัยเด็กของเขาก็ถือว่าน่าหดหู่ไม่แพ้กัน
ด้วยความที่แม่ของเขาต้องเปลี่ยนงานอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้าน
ทำให้ทั้งแม่และตัวเขาเองในวัย 3 ขวบไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ต้องคอยอาศัยโซฟาในบ้านของคนรู้จักเป็นที่หลับนอนยาวนานกว่า 6 ปี
ซึ่งก็มีอยู่หลายบ้านด้วยกันที่เขาเคยย้ายเข้าไปอยู่ โดยในปี ค.ศ. 1993 เขาเคยย้ายที่อยู่ 5 ครั้งใน 3 เดือน
ในขณะที่ James เองสมัยเรียนอยู่เกรด 4 ก็เคยขาดเรียนกว่าร้อยวันจากปัญหาสภาพจิตใจและเรื่องรอบตัว
ถึงแม้จะเกิดมาด้วยต้นทุนที่ติดลบ แถมยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม แต่ความพิเศษหนึ่งที่ติดตัวเขามาด้วยนั่นคือร่างกายที่พิเศษกว่าใคร
ในปี ค.ศ. 1993 James ในวัย 9 ขวบ มีส่วนสูงเกือบเท่ากับแม่ของเขาคือ 165 เซนติเมตร วิ่งเร็วและแข็งแรงถึงขั้นที่เรียกได้ว่าผิดปกติจากเด็กทั่วไป และในตอนนั้นเองที่เขาได้รู้จักกับ Bruce Kelker โค้ชอเมริกันฟุตบอลที่กำลังจะตั้งทีมขึ้นมาแข่งในระดับประถม
ซึ่ง Kelker ได้ดึงตัว James เข้าทีมและอาสารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเขาและได้ชวนสองแม่ลูกมาอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับเขา
ในปีแรกที่ James ลงแข่ง เขาทำทัชดาวน์ไปถึง 17 ครั้งภายใน 6 เกมที่ลงแข่งขัน ความสามารถและร่างกายของเขาโดดเด่นถึงขนาดที่ว่าโค้ชของทีมตรงข้ามต้องขอดูสูติบัตรเพราะสงสัยว่า James อาจจะโกงอายุเพื่อลงมาเข้าแข่งขัน
ต่อมา James และแม่ของเขามีความจำเป็นต้องย้ายบ้านอีกครั้งและตัวเขาได้ย้ายไปอยู่กับเพื่อนของโค้ช Kelker ที่ได้กลายมาเป็นโค้ชสอนบาสเกตบอลคนแรกของเขาชื่อ “Frankie Walker”
James จึงได้เรียนรู้การเล่นบาสเกตบอล และด้วยวินัยที่ยอดเยี่ยม บวกกับความตั้งใจในการฝึกซ้อม ฝีมือการเล่นบาสเกตบอลของ James ก็ได้พัฒนาแบบก้าวกระโดด
ต่อมา ฝีมือและชื่อเสียงของ James เริ่มมีมากขึ้นและโด่งดังไปไกลระดับประเทศ ถึงขนาดที่ว่า ESPN สื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาต้องถ่ายทอดสดการแข่งขันระหว่างทีมของเขาและ Oak Hill Academy ซึ่งเป็นทีมเต็งแชมป์ระดับประเทศ
โดยการถ่ายทอดสดครั้งนี้ นับเป็นการถ่ายทอดเกมบาสเกตบอลระดับมัธยมเป็นครั้งแรกของ ESPN ในรอบ 13 ปี และ James ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เพราะเขาเป็นตัวหลักที่พาทีมเอาชนะทีมเต็งแชมป์ท่ามกลางสายตาของชาวอเมริกันทั่วประเทศ
และแล้ว ช่วงเวลาที่เขาได้กอบโกยเงินจำนวนมหาศาลก็มาถึง
ในปี ค.ศ. 2002 James ในวัย 18 ปีเป็นที่สนใจของสื่อทั่วประเทศ ทั้งดารา นักบาสเกตบอลชื่อดัง หรือแม้แต่ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา Nike อย่าง Phil Knight ก็ยังต้องมาดูเขาแข่งที่ข้างสนาม
ในตอนนั้นมีแบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่ 3 แบรนด์รอที่จะเซ็นสัญญากับเด็กหนุ่มวัย 18 ปีคนนี้ ก่อนที่เขาจะถึงคิวเข้าคัดเลือกสู่ NBA ในปี ค.ศ. 2003 โดยมีทั้ง Adidas Reebok และ Nike ที่เข้าคิวรอเจรจากับ James
ซึ่ง James ก็เรียกได้ว่ามีดีเอ็นเอของความเป็นนักธุรกิจอยู่ในสายเลือดเลยทีเดียว เพราะเขาจะใส่ชุดกีฬาของ Adidas ทุกครั้งที่ไปออกงานของ Nike และจะเลือกใส่ชุดของ Nike ทุกครั้งที่ไปงานของ Adidas ส่งผลให้ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขาจะเลือกเซ็นสัญญากับแบรนด์ไหน
ซึ่งวิธีการนี้เองก็ทำให้แต่ละแบรนด์ต่างทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเจรจากับ James
Adidas เสนอสัญญามูลค่า 1,800 ล้านบาท
Nike เสนอสัญญามูลค่า 2,700 ล้านบาท
Reebok เสนอสัญญามูลค่า 3,450 ล้านบาท พร้อมจ่ายเป็นเช็คเงินสดทันที 300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม James ต้องการเลือก Nike ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะต้องการเดินตามรอยนักบาสเกตบอลระดับตำนานอย่าง Michael Jordan ที่ได้สร้างธุรกิจแบรนด์ชุดกีฬาเป็นของตัวเองขึ้นมาร่วมกับ Nike
นั่นจึงทำให้ในปี ค.ศ. 2003 เขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับ Nike ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่าซูเปอร์สตาร์คนดังอย่าง Kobe Bryant ที่ได้สัญญาจาก Nike เสียอีก โดยในปีนั้นมีนักกีฬาเพียง 3 คนทั่วโลก ที่มีรายได้จากสปอนเซอร์มากกว่าเขา
สุดท้ายแล้วการเลือก Nike ในครั้งนั้น ก็นำไปสู่การต่อสัญญาสปอนเซอร์มูลค่ามหาศาลที่คาดการณ์กันว่าสูงถึง 30,000 ล้านบาท ในปี ค.ศ. 2015 ซึ่งนับเป็นสัญญาตลอดชีพสัญญาแรกของ Nike ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา
นอกจาก Nike แล้ว หลากหลายแบรนด์ระดับโลกต่างก็ต้องการเซ็นสัญญากับ James อย่างเช่น McDonald’s, Coca-Cola หรือแม้แต่ Intel บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์..
แล้วอะไรกัน ที่ทำให้ James ต่างจากนักกีฬาส่วนใหญ่ ?
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากนักกีฬาชื่อดังคนอื่น ๆ
ก็คือ James เป็นนักกีฬาที่ชื่นชอบในด้านธุรกิจและการลงทุน
ยกตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2006 หูฟังยี่ห้อ Beats by Dre ได้ถือกำเนิดขึ้น
และผู้ก่อตั้งอย่าง Dr. Dre แรปเปอร์ชื่อดังต้องการร่วมมือกับ James ในการโปรโมตสินค้า
แทนที่ James จะรับเป็นสปอนเซอร์ให้กับบริษัท แต่สิ่งที่ James ทำก็คือเขาได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมในการขอเป็นหุ้นส่วนในบริษัทเข้าไปด้วย
โดยหลังจากได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนกัน James ก็ได้เอาตัวเองเป็นช่องทางการตลาด
ซึ่งในช่วงกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีน เขาได้แจกหูฟังให้กับเพื่อนร่วมทีมชาติทุกคนที่ร่วมแข่ง
ทำให้ปรากฏภาพนักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติสหรัฐอเมริกาทั้ง 15 คน ที่ไม่ว่าจะอยู่ในหมู่บ้านนักกีฬา ตอนซ้อม หรือสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง ก็จะมีหูฟัง Beats by Dre คล้องคออยู่เสมอ
จุดนี้เองที่ทำให้หูฟังแบรนด์ Beats by Dre กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกและเมื่อบริษัทถูกซื้อโดย Apple ในปี ค.ศ. 2014 ทำให้ James ได้รับส่วนแบ่งจากการขายกิจการดังกล่าวไปกว่า 900 ล้านบาท
อีกการลงทุนที่น่าสนใจคือ การลงทุนในร้านพิซซาแบรนด์ Blaze Pizza ในปี ค.ศ. 2012
ด้วยเงินลงทุน 30 ล้านบาทในขณะที่ร้านยังมีเพียงแค่ 1 สาขาเท่านั้น
โดยเขาเลือกที่จะไม่ต่อสัญญามูลค่า 450 ล้านบาทกับ McDonald’s
เพื่อที่จะได้นำภาพลักษณ์ของตัวเขาเองมาใช้ในการโปรโมตร้านพิซซาที่เขาลงทุน
ในปี ค.ศ. 2017 Forbes ได้จัดให้ Blaze Pizza คือเชนร้านอาหารที่เติบโตเร็วที่สุดที่เคยมีมา โดยปัจจุบัน Blaze Pizza มีจำนวนสาขากว่า 336 สาขา และมูลค่าเงินลงทุน 30 ล้านบาทของ James ได้เพิ่มกลายเป็น 1,200 ล้านบาทในปัจจุบัน คิดผลตอบแทนเป็น 40 เด้ง ภายใน 5 ปี
และการลงทุนที่สร้างชื่อให้กับ James มากที่สุดก็คือการลงทุนในทีมฟุตบอลลิเวอร์พูล
ในปี ค.ศ. 2011 เป็นช่วงที่ทีมลิเวอร์พูลไม่ได้มีผลงานที่ดีนัก ในขณะที่เจ้าของทีมอย่าง Fenway Sports Group (FSG) บริษัทที่เป็นเจ้าของทีมกีฬาจำนวนมาก ซึ่งก็ต้องการใช้ชื่อของ James ในการโปรโมตแบรนด์และดึงดูดลูกค้าเข้าบริษัท
James จึงยื่นข้อแลกเปลี่ยนนอกเหนือจากค่าตัวแล้ว เขายังต้องการหุ้น 2% ในทีมลิเวอร์พูลอีกด้วย
หลังจากข้อตกลงกับ FSG เสร็จสิ้น James ได้เยี่ยมชมการแข่งขันของลิเวอร์พูลและเขายังได้มอบหูฟัง Beats by Dre รุ่นพิเศษให้กับนักฟุตบอลในทีมอีกด้วย
จากดีลดังกล่าวทำให้หลังจากที่ลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์ในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ก็ทำให้มูลค่าของทีมลิเวอร์พูลในปี ค.ศ. 2019 เพิ่มขึ้นมหาศาล และหุ้น 2% ของเขา ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,100 ล้านบาท
นอกจากการลงทุนทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
พอร์ตการลงทุนของ James ก็ยังมีอีกมากมาย เช่น
- บริษัท Ladder ซึ่งเขาได้ร่วมมือกับ Arnold Schwarzenegger เพื่อร่วมกันสร้างแบรนด์อาหารเสริมคุณภาพสูงสำหรับนักกีฬา และกิจการดังกล่าวก็ได้ถูกซื้อไปโดย Openfit แบรนด์ฟิตเนสชื่อดัง
- บริษัท SpringHill Entertainment บริษัทผลิตภาพยนตร์ สารคดี และรายการโทรทัศน์หลากหลายรายการ และได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทกว่า 22,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า James ถือหุ้นกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัท
- บริษัท Uninterrupted แพลตฟอร์มสื่อทางด้านกีฬา ที่เชื่อมต่อบรรดานักกีฬาชื่อดังกับแฟนคลับผ่านรายการต่าง ๆ มากมายซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก
ปัจจุบัน Forbes ระบุว่า James มีทรัพย์สินราว 25,500 ล้านบาท ซึ่งทำให้ชีวิตของเขานั้นถือได้ว่าประสบความสำเร็จทั้งในด้านกีฬาและธุรกิจเลยทีเดียว
ก็เป็นที่น่าติดตามว่าในอนาคตอาชีพนักกีฬาของ LeBron James จะเป็นอย่างไร
หรือเขาจะเริ่มวางมือจากสนามบาสเกตบอล แล้วเข้าสู่สนามธุรกิจเต็มตัวเมื่อไร
เพราะอีกหนึ่งความฝันของเขาก็คือ “การได้เป็นเจ้าของทีมใน NBA”
ซึ่งด้วยกฎปัจจุบันของ NBA ทำให้เขาที่มีสถานะเป็นนักกีฬายังไม่สามารถเป็นเจ้าของทีมใด ๆ ได้
เรื่องทั้งหมดนี้ของ LeBron James สะท้อนให้เห็นว่าต้นทุนทางชีวิตของเรา
อาจจะมีผลมากกับช่วงชีวิตในวัยเด็กก็จริง แต่หลังจากนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับตัวเราเองมากกว่า
เหมือนกับ James ชีวิตในวัยเด็ก เรียกได้ว่าติดลบ
แต่พอเขาโตขึ้น เขาก็ได้นำความพิเศษทางร่างกายที่ได้รับมา
รวมเข้ากับความมุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อม จนก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาระดับโลก และมีส่วนช่วยต่อยอดให้เขาเป็นนักธุรกิจระดับโลกด้วย นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.youtube.com/watch?v=0Qrey_QLSr8
-https://www.espn.com/nba/story/_/id/9825052/how-lebron-james-life-changed-fourth-grade-espn-magazine
-https://tonesanddefinition.com/2018/12/03/the-chosen-one-1-lebron-james/
-https://www.forbes.com/video/6269489945001/heres-how-lebron-james-could-become-a-billionaire-/?sh=2fdd29996486
-https://www.forbes.com/sites/kurtbadenhausen/2017/07/11/lebron-james-backed-blaze-pizza-is-fastest-growing-restaurant-chain-ever/?sh=649f2a5752b2
-https://www.marketwatch.com/story/when-lebron-james-chose-nike-in-2003-he-gave-up-28-million-it-could-end-up-making-him-1-billion-2019-08-29
-https://www.essentiallysports.com/nba-basketball-newsfrom-blaze-pizza-to-liverpool-f-c-the-top-5-businesses-lebron-james-owns/
同時也有307部Youtube影片,追蹤數超過60萬的網紅Tasty Japan,也在其Youtube影片中提到,甘いかぼちゃとリッチなクリームチーズを掛け合わせた2層のチーズケーキ! ザクザク食感のシナモンクランブルがアクセントになっています♪ ぜひ作ってみてくださいね! かぼちゃチーズケーキ 12個分 材料: 溶かしバター 大さじ6 グラハムクラッカー(砕いておく)10枚 クリームチーズ(常温)905g...
30 f to c 在 Tifosi Facebook 的精選貼文
KHI NHỮNG NGƯỜI PHÁP “MẶT DÀY”
Nước Pháp đã từng nhận những chỉ trích rất lớn trong Chiến tranh thế giới thứ 2, một là họ cùng cùng với Anh bỏ mặc đồng minh Ba Lan cho Đức xâm lược trong khi đã có hiệp ước phòng thủ chung, hai là bỏ mặc những vùng đất thuộc địa tại châu Á cho quân Nhật chiếm đóng, trong đó có Việt Nam. Chưa hết, khi những người Việt Nam chuẩn bị cho một cuộc chiến chống Nhật và bày tỏ mong muốn đàm phán về vấn đề độc lập, tự do cho bán đảo Đông Dương sau cuộc chiến, thì người Pháp đáp lại bằng cách… đàn áp những người Việt Nam có tư tưởng như vậy.
Chưa hết, Pháp đã vơ vét những nhân lực chất lượng cao nhất tại Đông Dương để về Pháp phục vụ cho chiến tranh. Đó là những người thợ lành nghề nhất, những người đàn ông cao to nhất và khỏe mạnh nhất… Theo RFI, vào năm 1939, chính phủ Pháp dự tính đưa khoảng 300.000 lao động thuộc địa tham gia thế chiến, trong đó khoảng 100.000 người đến từ Đông Dương. Trước đó, vào Chiến tranh thế giới thứ nhất, đã có khoảng 40.000 lính tập và 50.000 lính thợ từ Đông Dương sang Pháp, 80% số này đến từ Việt Nam.
Hầu hết những lực lượng này đến từ Trung Kỳ và Bắc Kỳ, đó là những nơi đông dân và luôn có tư tưởng chống Pháp, còn xứ Nam Kỳ đã là thuộc địa của Pháp và giới điền chủ tại đây không muốn lao động sang Pháp để tránh thiếu hụt nhân sự phục vụ trong những đồng điền. Pháp tin rằng với biện pháp chưng thu nhân lực như vậy, Trung Kỳ và Bắc Kỳ sẽ không dám làm “phản” Pháp để chiến đấu với Nhật. Tiếp nữa, Pháp tin rằng khi mà nhân lực nguồn lao động chất lượng nhất tại hai nơi này hao hụt đi, Nhật nếu tiến quân vào đây, sẽ không thể trưng thu lao động được nữa.
Nhưng Pháp đã “bé cái nhầm”, cả khách quan và chủ quan.
Vì Pháp thất bại quá nhanh chóng tại Chiến tranh thế giới thứ hai, thất bại nhanh đến mức và đồng minh thân cận nhất là Anh cũng không ngờ tới. Chính sự thất bại ấy đã khiến cho Pháp ngưng tuyển quân tại các thuộc địa, trong đó có Đông Dương và Việt Nam. Tính đến tháng 6/1940, chỉ có 20 ngàn trên tổng số 100 ngàn lính Đông Dương có mặt chiến đấu tại Pháp. Vì thế, lực lượng lao động, thợ thuyền, trai tráng tại Trung Kỳ và Bắc Kỳ vẫn còn đông đảo. Pháp luôn tự xưng là nước lớn hay mẫu quốc, nhưng Pháp lại bỏ mặc những thuộc địa của mình cho Nhật, Pháp gần như không có bất cứ một động thái lớn nào nhắm chống lại Nhật tại châu Á. Từ 1940 đến đầu năm 1945, Pháp ở Đông Dương chỉ còn là cái xác không hồn, còn Nhật từng bước trở thành làm chủ nơi này. Tháng 3/1945, Nhật hất cẳng Pháp ra khỏi Đông Dương, trở thành kẻ thống trị duy nhất tại đây.
Đồng minh Mỹ đã từng hy vọng Pháp sẽ trở thành một đối tác tin cậy tại Châu Á - Thái Bình Dương, góp sức cùng Mỹ chống Nhật, giảm nhẹ sức ép lên Mỹ. Nhưng thứ mà Mỹ nhận được từ Pháp là... không gì cả, không sức ép, không một người lính nào, không một chút thông tin tình báo nào... Chính vì thế, trong giai đoạn cuối Chiến tranh thế giới thứ 2, người Mỹ thực sự không muốn người Pháp "có phần" hay "kể công" tại Đông Dương.
Nhân cơ hội Nhật yếu thế tại các chiến trường châu Á - Thái Bình Dương, một “cao trào kháng Nhật cứu nước” đã nổ ra khắp nơi trên toàn quốc như muốn nói rằng: “Người Pháp không chiến đấu được với Nhật được thì để người Việt Nam làm”. Và kết quả của một cao trào ấy là Cách mạng tháng Tám. Sau Cách mạng tháng Tám là sự kiện vào ngày 02/09/1945, chủ tịch Hồ Chí Minh đọc bản Tuyên ngôn Độc lập, tuyên bố Việt Nam độc lập từ tay Pháp và Nhật, thành lập nước Việt Nam Dân chủ Cộng hòa.
Nhật thì bại trận và chịu giải giáp rồi thì không nói làm gì, nhưng mà tự dưng Pháp ở đâu nhảy ra nói rằng vẫn còn quyền và lợi ích hợp pháp tại Đông Dương và Việt Nam. Pháp phản đối bản Tuyên ngôn Độc Lập, từ chối công nhận nền độc lập cho Đông Dương, và kéo theo là một số đồng minh của Pháp cũng vậy. Còn đồng minh lớn nhất của của Pháp bấy giờ là Mỹ thì không đồng ý với chủ trương của Pháp, còn phía Anh thì ù à mặc kệ vì còn vướng vào Myanmar, Ấn Độ. Tổng thống Mỹ Franklin D. Roosevelt bày tỏ thiện chí về việc ủng hộ một Đông Dương độc lập dưới quyền quản trị quốc tế, Stalin đồng ý với Roosevelt và cho rằng phía Pháp đã tháo chạy trước Nhật tại Đông Dương thì không có tư cách gì đòi hỏi chuyện quay lại Đông Dương một lần nữa.
Điều buồn cười là vào tháng 5/1945, tại Hội nghị San Francisco, Pháp đến hội nghị với tư cách là một nước thắng trận - dù trước đó từng “giương cờ trắng” đầu hàng Đức sau một tháng chiến đấu. Bộ trưởng Ngoại giao Pháp G. Bidault tuyên bố chỉ có Pháp mới có quyền quyết định tương lai của Đông Dương, nhưng ông này lại không được tham gia vào cuộc hội đàm giữa Đồng Minh với Nhật về vấn đề giải giáp chiến tranh, đền bù phí tổn vì… không tham gia vào việc kháng Nhật ở Đông Dương.
Sau khi Roosevelt qua đời, Truman lên thay và Pháp đã ra sức vận động cho việc trở lại Đông Dương. Cùng với việc đàm phán xong với phía Anh và Trung Hoa Dân Quốc, cuối cùng thì những người Pháp quay lại Đông Dương thêm một lần nữa, và họ lại tiếp tục thất bại thêm một lần nữa.
Thất bại của Pháp trong lần quay trở lại Đông Dương không phải chỉ là một thất bại của một quốc gia thực dân với một thuộc địa, mà còn là sự sụp đổ dây chuyền của hệ thống thuộc địa kiểu cũ. Pháp thất bại ở Việt Nam, sau đó là ở Lào, Campuchia, Algeria, Senegal… và nhiều quốc gia khác ở Bắc Phi.
“Mặt dày” có nghĩa là gì? Là những con người trơ trẽn, không biết xấu hổ. Người Pháp đã từng bòn rút mọi thứ từ Đông Dương, tự xưng là “mẫu quốc” nhưng lại không bảo vệ được Đông Dương và còn cố ý ngăn cản người dân Đông Dương đứng lên chống Nhật. Pháp từng thất bại thảm hại trước Đức ở châu Âu và cũng thể hiện một bộ mặt không khác là mấy trước Nhật. Rồi khi kết thúc chiến tranh, Pháp lại tìm mọi cách “nhận vơ” Đông Dương về lại với Pháp, trong khi chính người dân Đông Dương đã về phía Đông Minh, chống lại phát xít.
Hẳn là nhiều người đã từng nghe về câu nói: “Những gã đàn ông Pháp chân chính cuối cùng đã chết cùng với Napoleon”.
---
#tifosi
Một số tư liệu tham khảo:
1. "Lính thợ Đông Dương" : Những người lính thầm lặng tại Pháp trong Thế Chiến II, RFI
2. Nohlen, D, Grotz, F & Hartmann, C (2001) Elections in Asia: A data handbook, Volume II, p. 324
3. Why Vietnam, Archimedes L.A Patti
4. David G. Marr, Vietnam: State, War, and Revolution (1945–1946), page 418, California: University of California Press, 2013
30 f to c 在 Facebook 的最佳貼文
急性心衰竭 (心衰竭指引 ESC guidelines, 2021)
Part 2~~
key words:
AHF: 急性心衰竭(Acute heart failure)
ADHF: 急性失償心衰竭(Acute decompensated heart failure)
Cardiogenic shock: 心因性休克
MCS:機械式循環輔助 (Mechanical circulation Support)
RRT:腎臟替代療法(Renal replacement therapy)
Natriuretic peptides (BNP, NT-proBNP, MR-proANP)
MR-proANP = mid-regional pro-atrial natriuretic peptide
NT-proBNP = N-terminal pro-B-type natriuretic peptide
AHF流行病學、診斷和預後
AHF 是指 HF 的症狀和/或癥兆迅速或逐漸發作,嚴重到足以使患者尋求緊急醫療照護,導致意外入院或急診就診。AHF患者需要緊急評估,隨後開始或積極治療,包括經由靜脈治療或裝置步驟。AHF在院內死亡率為4%-10% 。出院後一年死亡率: 25–30%,死亡或再入院率高達 45% 以上。
AHF 可能是 HF第一次發作,或者是由於慢性 HF 的急性失償。與急性失償心衰竭相比,新發HF患者的院內死亡率可能較高,但出院後死亡率和再住院率較低。
AHF的診斷檢查包括心電圖、心超、胸部X光、檢查和肺超檢查。尤其無法檢測Natriuretic peptides(NP)時。如果診斷無法確定是否心因性心衰竭時,則檢驗血漿 NP數值(BNP 或 NT-proBNP 或 MR-proANP)。
NPs正常:排除AHF 的診斷。
急性 HF 的臨界值是:
BNP <100 pg/mL、
NT-proBNP <300 pg/mL
MR-proANP <120 pg/mL。
但NP值升高與多種非心臟疾病相關, 在一些患有晚期失償末期HF、肥胖、突發性肺水腫(flash pulmonary edema)或右側AHF的患者可測得低值NP。有AF和/或腎功能異常,其NP數值較高。
AHF診斷流程
• 初步驗血檢驗包括肌鈣蛋白(troponin)、血清肌酐、電解質、血尿素氮或尿素、TSH、肝功能檢查及D-dimer(疑似肺栓塞);和procalcitonin (感染),動脈血氧分析(呼吸窘迫),以及lactate(低灌注的情況)。(註:procalcitonin降鈣素原可用於肺炎的診斷,數據 >0.2 μg/L 時,可能有使用抗生素治療的適應症。)
• 特定檢查包括冠狀動脈造影(疑似 ACS)和 CT(疑似肺栓塞)。
• 急性心衰診斷的NT-proBNP臨界值:
<55歲:> 450 pg/mL
55 -75 歲:> 900 pg/mL
> 75 歲> 1800 pg/mL
AHF臨床表現
AHF呈現四種主要的臨床表現,主要根據充血和/或外周血流灌注不足的原因所呈現出來不同的臨床表現。(參考表21)
四種臨床表現分別是:
1.急性失償心衰竭
2.急性肺水腫
3.孤立性右心室衰竭
4.心因性休克
各種急性心衰竭的臨床表現:
1.急性失償心衰竭(Acute decompensated heart failure, ADHF)
急性失償心衰竭 (ADHF) 是 AHF 最常見的形式,佔臨床表現的 50-70%。它發生在有HF病史和心臟功能異常,包括 RV 功能異常。與急性肺水腫表型不同,發作時程呈現漸進,主要變化是導致全身充血,液體滯留。
治療:
a. 使用環利尿劑,減少水份滯留。
b. 強心增壓劑(Norepinephrine):於周邊低灌注時使用。
c. 短暫使用機械式循環輔助(MCS):於周邊低灌注,器官受損時使用
c.腎臟替代療法(RRT: Renal replacement therapy):如果利尿劑無效或腎病末期時,可考慮使用RRT (Class IIa)
2.急性肺水腫
急性肺水腫診斷的臨床標準包括:
呼吸困難合併端坐呼吸、
呼吸衰竭(低血氧症-高碳酸血症)、
呼吸急促、
>25 次/分鐘和呼吸功增加。
治療:
a. 給予氧氣,持續氣道正壓通氣、非侵入性正壓通氣和/或高流量鼻管。
b. 給予靜脈利尿劑。
c. 如果收縮壓 (SBP) 高,可以給予靜脈血管擴張劑,以減少 LV 後負荷。在少數晚期 HF 病例中,急性肺水腫可能與低心輸出量有關,在這種情況下,需要使用強心劑(Inotropics)、血管加壓藥(vasopressors)和/或MCS 來恢復器官灌注。
3. 孤立性右心衰竭 (Solitary RV Failure)
a. RV 衰竭是由於 RV 和心房壓力增加以及全身充血。RV 衰竭也可能損害 LV 填充功能,最後導致心輸出量減少。
b. 利尿劑通常是治療靜脈充血的首選藥物。
c. Norepinephrine,強心劑、血管加壓劑:適用於低心輸出量和血流動力學不穩定。可能優先選用能降低心臟充填壓的強心劑, 如,levosimendan, phosphodiesterase type III inhibitors。
d. 由於強心劑可能會使動脈低血壓更嚴重,必要時,可以與norepinephrine合用。
4.心因性休克
心因性休克是由於原發性心臟功能異常導致心輸出量不足的症候群,包括危及生命的組織低灌注狀態,可導致多器官衰竭和死亡。
心因性休克的診斷要件:
灌注不足的臨床症狀:例如四肢冷汗、少尿、精神錯亂、頭暈、脈壓變窄、低灌注。血清肌酐升高、代謝性酸中毒和血清乳酸升高,反映出組織缺氧和細胞代謝改變導致器官功能障礙。低灌注並不常合併低血壓,因為可以通過代償性血管收縮(使用/不使用升壓劑)來維持血壓。
應儘早開始治療心因性休克:早期識別和治療潛在原因。
尋找病因(口訣:CHAMPIT):(see photo)
包括急性冠心症,高血壓急症,快速心律不整,嚴重心搏過慢,傳導阻滯,機械性原因(如,急性瓣膜返流,急性肺栓塞,感染,心肌炎,心包填塞)
嚴重休克病人則需要考慮將MCS(Class IIa)作為移植的過渡時期使用。
急性心衰竭的藥物治療:
利尿劑
靜脈利尿劑是AHF治療的基本。它們增加鈉和水份的排泄,適用於治療大多數AHF患者的體液過度負荷和充血。
a. Furosemide: 起始劑量為 20-40 mg,或靜脈推注 10-20 mg。Furosemide可以每天 2-3 次推注或連續輸注。由於給藥後,會有鈉滯留的可能性,因此不鼓勵每日單次推注給藥。連續輸注時,可使用負荷劑量以更早達到穩態。
b. 利尿劑治療開始後應立即評估利尿反應,並可通過在2或6小時後進行當時尿鈉含量(urine sport sodium) 和/或通過測量每小時尿量來評估。
c. 適當的利尿反應可以定義為2小時後,尿鈉(urine spot sodium) >50–70 mEq/L and/or
d. 前6小時尿量 >100–150 mL/h。
e. 如果利尿反應不足, 環利尿劑IV劑量可以加倍,並進一步評估利尿反應。
f. 如果利尿反應仍然不足,即使利尿劑劑量加倍,但每小時利尿量<100 mL,可以考慮同時使用其他作用於不同部位的利尿劑,即thiazides, metaolazone, acetazolamide。但需要仔細監測血清電解質和腎功能。
血管擴張劑
a. 靜脈血管擴張劑,如nitrate,可以擴張靜脈和動脈,因此減少靜脈返回心臟,充血減少,後負荷降低,增加心搏出量,因此緩解症狀。
b. Nitrate主要作用於靜脈,而nitroprusside則是動靜脈擴張。由於它們的作用機制,靜脈注射後,血管擴張劑可能比利尿劑更有效。急性肺水腫是由於後負荷增加和液體重新分配到肺部,而沒有周邊積液。
c. 當 SBP > 110 mmHg 時,可以考慮使用靜脈血管擴張劑來緩解AHF症狀。它們可以以低劑量開始並逐漸增加以達到臨床改善和血壓控制。應注意避免因前負荷和後負荷過度降低而導致的低血壓。因此,對於 LVH 和/或嚴重主動脈瓣狹窄的患者,應謹慎地使用。
強心升壓劑 (Inotropes)
a. 低心輸出量和低血壓患者的治療需要強心升壓劑(見表 22)。使用於左室收縮功能障礙、低心輸出量和低收縮壓(例如 <90 mmHg)導致重要器官灌注不良的情況。必須從低劑量開始謹慎使用,並在密切監測下逐漸增加。
b. Inotropes其是那些具有腎上腺素能機制的藥物,可引起竇性心動過速,增加 AF 患者的心室率,可能誘發心肌缺氧和心律異常,增加死亡率。
血管加壓藥(Vasopressors)
a. Norepinephrine具有顯著動脈收縮,適用於嚴重低血壓患者。主要目的是增加對重要器官的灌注。但會增加 LV 後負荷。因此,可以考慮同時併用Intropes + Norepisnephrine,特別是對於晚期 HF 和心因性休克的患者。
a. 休克患者第一線血管加壓藥的比較:Dopamine vs Norepinephrine,顯示在心因性休克患者Dopamine發生較多的心律不整,和死亡率。但低血容量或敗血性休克則沒有。
b. 在另一項前瞻性隨機試驗中,在急性 MI 引起的心因性休克患者中比較了Epinephrine vs Norepinephrine,由於頑固性心因性休克發生率較高,該研究提前終止。
c. Epinephrine會有較快的心率和乳酸中毒。儘管存在樣本量相對較小、追蹤時間短以及缺乏有關最大達到劑量的數據,但該研究表明Norepinephrine有較好的療效和安全性。這些數據與一項包括 2583 位心因性休克患者的綜合分析一致,顯示與Norepinephrine相比,心因性休克患者使用Epinephrine的死亡風險增加了三倍。因缺乏有關劑量、持續追蹤時間,和病因,使這些結果仍需進一步探討。
鴉片類製劑(Opoid)
a. Opoid類藥物可緩解呼吸困難和焦慮,在非侵入性正壓通氣期間用作為鎮靜劑,以改善患者的適應能力。 副作用包括噁心、低血壓、心搏過緩和呼吸抑制。
b. Morphine給藥與會使機械通氣頻率更多、住院時間延長、重症監護病房入院次數增加和死亡率增加。因此,不推薦在AHF中常規使用opoid類藥物。嚴重頑固性疼痛或焦慮治療的情況下,亦可考慮使用opoid類藥物。
c. SBP <90 mmHg時,勿用Morphine.
d. Morphine會抑制呼吸,使用時特別注意呼吸狀況及保持呼吸道通暢。
Digoxin
a. AF患者使用了乙型阻斷劑,但仍有心室心率過快(AF with RVR) (>110 b.p.m.) ,可考慮使用Digoxin。
b. 如果未曾使用過Digoxin,可以靜脈推注 0.25–0.5 mg。
對於CKD或影響Digoxin代謝的其他因素(包括其他藥物)和/或老年人,維持劑量可能難以理論上估計,應檢查血清Digoxin level。
血栓栓塞預防
a. 推薦使用肝素(例如低分子量肝素)或其他抗凝劑預防血栓栓塞。
c. 若正服用服抗凝劑或禁忌,則不需使用肝素。
短期機械式循環輔助(MCS)
a. 心因性休克可能需要短期 MCS 以增加心輸出量和維持器官灌注。
b. 短期 MCS 可用作恢復前(BTR, bridge to recover),治療策略決定前(是否繼續積極治療或視為無效醫療, BTD, Bridge to decision) 暫時過渡期的使用。臨床研究證據仍然很少。因此,不支持在心因性休克患者中未經選擇地使用 MCS。
c. 心因性休克 II (IABP-SHOCK-II) 研究中的IABP-SHOCK-II顯示,主動脈內球泵浦 (IABP) 和合適藥物治療之比較,於心因性休克患者接受早期血管再灌注的急性 MI 後之休克中,30天和長期死亡率沒有差異。根據這些結果,不推薦 IABP常規用於 MI後的心因性休克(Class III)。然而,其他非ACS引起的心因性休克,對藥物治療無效,IABP作為BTD、BTR ,仍有幫助(Class IIb)。
d. 在小型隨機試驗和傾向匹配分析中將其他短期 MCS 與 IABP 進行了比較,但結果不確定。ECMO與 IABP或 MT進行比較的RCT亦無確定結果。
e. 一項僅包括觀察性研究的綜合分析顯示,與對照組相比,接受靜脈-動脈 (VA-ECMO) 治療的心因性休克或心臟驟停患者的預後良好。 VA-ECMO 也可用於治療暴發性心肌炎和其他導致嚴重心因性的疾病。
f. 根據心肌功能異常和/或合併二尖瓣或主動脈瓣閉鎖不全的嚴重程度,VA-ECMO 可能會增加 LV 後負荷,同時增加 LV 舒張末期壓力和肺充血。在這些情況下,可以通過經中隔/心室心尖通氣口或使用解除LV 負荷(例如 Impella 裝置) 。
本文出處:
https://reurl.cc/VEy9Gn
Ref:
European Heart Journal (2021) 00, 1-128
https://academic.oup.com/eurheartj/advance-article/doi/10.1093/eurheartj/ehab368/6358045#292214341
30 f to c 在 Tasty Japan Youtube 的最佳解答
甘いかぼちゃとリッチなクリームチーズを掛け合わせた2層のチーズケーキ!
ザクザク食感のシナモンクランブルがアクセントになっています♪
ぜひ作ってみてくださいね!
かぼちゃチーズケーキ
12個分
材料:
溶かしバター 大さじ6
グラハムクラッカー(砕いておく)10枚
クリームチーズ(常温)905g
卵 4個
バニラエクストラクト 小さじ1
砂糖 300g
かぼちゃ(つぶしてピュレ状にしておく)425g
■トッピング用クランブル
バター 115g
薄力粉 125g
ブラウンシュガー 110g
シナモン 大さじ1
作り方:
1.ボウルに溶かしバターと砕いたグラハムクラッカーを入れ、よく混ぜる。
2. 23x33cmのスクエア型に(1)を入れ、カップの底で平たくする。冷蔵庫に入れて冷やす。
3. 大きめのボウルにクリームチーズ、卵、バニラエクストラクト、砂糖を入れ、滑らかになるまで混ぜる。
4.(2)のスクエア型を冷蔵庫から取り出して(3)を半分流し込み、冷凍する。
5. オーブンを160˚Cに予熱しておく。
6. (3)の残り半分にかぼちゃを入れ、よく混ぜる。
7. 冷凍庫から(4)を取り出し、(6)をのせる。へらで表面を平らにならす。
8. オーブンで30分焼く。
9. トッピング用クランブルを作る。ボウルにバター、薄力粉、ブラウンシュガー、シナモンを入れ、湿った砂のようになるまで混ぜる。
10. チーズケーキをオーブンから取り出す。(9)を振りかけ、てオーブンに戻して25分焼く。
11. オーブンからチーズケーキを取り出し、粗熱が取れるまで完全に冷ましたら、完成!冷蔵庫で冷やしたらさらに美味しくなります。
===
Pumpkin Cheesecake Bars
Servings: 12
INGREDIENTS
6 tablespoons butter, melted
10 graham crackers, crushed
32 oz cream cheese(905 g), at room temperature
4 eggs
1 teaspoon vanilla
1 ½ cups sugar(300 g)
15 oz pumpkin puree(425 g), 1 can
■CRUMBLE TOPPING
½ cup butter(115 g)
1 cup flour(125 g)
½ cup brown sugar(110 g)
1 tablespoon ground cinnamon
PREPARATION
1. In a medium bowl, combine the melted butter and crushed graham crackers. Stir until the mixture develops a wet sand texture.
2. Cover the bottom of a greased 9 x13-inch (23x33 cm) baking pan with the graham cracker mixture and spread evenly. Chill.
3. In a large bowl, combine the cream cheese, eggs, vanilla, and sugar. Stir until mixture is smooth.
4. Spread half of the cheesecake batter into the chilled baking pan, smoothing the top, and freeze.
5. Preheat the oven to 325˚F (160˚C).
6. Add the pumpkin puree to the remaining cheesecake batter and stir until incorporated.
7. Spoon the pumpkin cheesecake mixture over frozen cheesecake mixture and spread evenly.
8. Bake for 30 minutes.
9. Make the crumb topping: in a medium bowl, combine the butter, flour, brown sugar, and cinnamon. Stir until all ingredients are evenly incorporated and the mixture develops a wet sand texture.
10. Top the cheesecake with the crumble topping and bake for another 25 minutes.
11. Allow the cheesecake to cool at room temperature. For best results refrigerate overnight once completely cooled, then slice and serve.
12. Enjoy!
#TastyJapan
#レシピ
MUSIC
Licensed via Audio Network
30 f to c 在 Tasty Japan Youtube 的最讚貼文
冷凍パイシートを使って、片手で食べられるミニパイができちゃいます♪
甘酸っぱいミックスベリーパイから、シナモンがきいたアップルパイまで、いろんな味が楽しめます!
焼き上がったらクリームで楽しくデコレーション♪ぜひ作ってみてくださいね!
ミニパイ5種
8人分
材料:
薄力粉(打ち粉用) 30g
冷凍パイシート 2枚
卵 1個
水 大さじ1
■いちごクリームパイ
クリームチーズ(常温) 55g
砂糖 大さじ1
バニラエクストラクト 小さじ1
いちご(みじん切り) 4個
■ミックスベリーパイ
ラズベリー 40g
ブルーベリー 35g
砂糖 大さじ1
レモン汁 大さじ1/2
レモンの皮 小さじ1/2
■チョコバナナパイ
チョコレートスプレッド 75g
バナナ(スライス) 1本
■アップルパイ
青りんご(スライス) 1/2個
ブラウンシュガー 大さじ1
シナモン 小さじ1/8
■トッピング用クリーム
粉砂糖(ふるっておく) 120g
牛乳 大さじ1
バニラエクストラクト 小さじ1/4
作り方:
1. 作業台の上に軽く薄力粉をまぶし、冷凍パイシートを23x30cmの長方形になるまで綿棒で伸ばす。パイシート1枚を3回折り畳み、折り線で8つの長方形を作る。クッキングシートを敷いた天板に載せる。
2. いちごクリームパイのフィリングを作る。小さめのボウルにクリームチーズ、砂糖、バニラエクストラクトを入れて混ぜる。
3. ミックスベリーパイのフィリングを作る。小さめのボウルにラズベリーを入れてフォークでつぶす。ブルーベリー、レモン汁、砂糖、レモンの皮を加えてよく混ぜる。
4. (3)をパイシートの長方形2つの真ん中に載せる。
5. 3つ目と4つ目の長方形にチョコレートスプレッドを塗り、バナナのスライスを載せる。
6. 5つ目と6つ目の長方形に(2)を塗り、いちごを載せる。
7. 7つ目と8つ目の長方形にはりんごのスライスを並べ、シナモンとブラウンシュガーを振りかける。
8. オーブンを200˚Cに予熱しておく。
9. パイに塗る卵液を作る。小さめのボウルに卵と水を混ぜ合わせる。刷毛でパイ生地の折線に沿って塗る。もう2枚目のパイシートを上から被せ、折線に沿ってフィリングの周りの生地を押す。
10. ピザカッター、または包丁で折線に沿って切る。縁にフォークを押し付けて真ん中に穴を3-4ヶ所開ける。表面に卵液を塗る。
11. オーブンで25分焼く。焼き色がついたら取り出し、5分冷ます。
12. トッピング用のクリームを作る。ボウルに粉砂糖、牛乳、バニラエクストラクトを入れ、滑らかになるまで混ぜる。
13. クリームを絞り袋に入れる。パイの表面をクリームでデコレーションしたら、完成!
===
Sheet Pan Stuffed Pastry Pockets
Servings: 8
INGREDIENTS
¼ cup all-purpose flour (30 g), for dusting
2 sheets puff pastry, thawed if frozen
1 egg, beaten with 1 tablespoon water or milk
GLAZE
1 cup powdered sugar (120 g), sifted
1 tablespoon milk
¼ teaspoon vanilla extract
STRAWBERRIES ‘N’ CREAM FILLING
¼ cup cream cheese (55 g), softened
1 tablespoon sugar
1 teaspoon vanilla extract
4 strawberries, stemmed and diced
VERY BERRY FILLING
⅓ cup raspberry (40 g)
⅓ cup blueberry (35 g)
1 tablespoon sugar
½ tablespoon lemon juice
½ teaspoon lemon zest
CHOCOLATE BANANA FILLING
¼ cup chocolate hazelnut spread (75 g)
1 banana, sliced
APPLE PIE FILLING
½ green apple, sliced
1 tablespoon brown sugar
⅛ teaspoon cinnamon
PREPARATION
1. On a lightly floured surface, roll out the puff pastry sheets to 9x12-inch (23x30-cm) rectangles. Set one pastry sheet aside and fold the other in half lengthwise, then in half crosswise twice, to form creases for 8 pockets. Unfold the pastry sheet on the prepared baking sheet.
2. Make the Strawberries ‘n’ Cream filling: In a small bowl, combine the cream cheese, sugar, and vanilla, and mix until smooth.
3. Make the Very Berry filling: In a small bowl, mash the raspberries, then add the blueberries, sugar, lemon juice, and lemon zest. Mix with a fork.
4. Spoon the berry mixture over the center of 2 of the 8 rectangles.
5. Use a spatula to spread the chocolate hazelnut spread over the center of 2 more rectangles, then top with the banana slices.
6. Use a spatula to spread the cream cheese mixture in the center of 2 more rectangles, then top with the strawberries.
7. Place apples slices in the center of the remaining 2 rectangles, then sprinkle with the brown sugar and cinnamon.
8. Preheat the oven to 400˚F (200˚C). Line a baking sheet with parchment paper.
9. Brush the egg wash over the pastry around the edges and between each filling, then top with the remaining puff pastry sheet. Use your fingers to press the pastry down around each filling. Once tightly pressed, use a pizza cutter or knife to cut out each pocket.
10. Seal the outside edges with a fork. Poke the top of each pocket with a fork 3-4 times to ventilate. Brush the tops with egg wash.
11. Bake for 25 minutes, or until golden brown.
12. Make the glaze: In a medium bowl, combine the powdered sugar, milk, and vanilla. Stir until smooth and thick.
13. Remove the pockets from the oven and let cool for 5 minutes. Decorate with the glaze, then serve immediately, or wrap in wax paper and freeze for up to a week. Reheat in the toaster oven.
14. Enjoy!
#TastyJapan
#レシピ
MUSIC
Licensed via Audio Network
30 f to c 在 兵藤小百合|さゆりメイク Youtube 的精選貼文
ご視聴いただきありがとうございました♡
\ Follow me /
Instagram ▷ https://instagram.com/sayuri_hyodo
Twitter ▷ https://twitter.com/sayuri_hyodo?s=09
Rakuten ROOM ▷https://room.rakuten.co.jp/room_7eb6076c9f/items
web ▷ https://www.littlelily.jp/
note ▷ https://note.mu/sayuri_hyodo
\ お仕事依頼は以下のコンタクトからお願い致します/
https://www.littlelily.jp/blank-2
→法人向けオンラインメイクレッスンやってます
※個人的なご質問やメッセージ等はコメント欄へお願い致します。
※現在、現場のお仕事に集中するためメイクの個人レッスンは行なっておりません
(団体レッスンなどは一度お問い合わせください)
\ P R O F I L E/
こんにちは!メイクアップアーティストの兵藤小百合です。
NYまで憧れのメイクさんに会いに行ったことをきっかけにこの仕事を選びました。
大学時代はヨーロッパ文明学科というマニアックな勉強をしていて、
趣味は旅と香水と音楽と散歩のマイペース人間です😊笑
YouTubeではメイク解説やアイテムレビューなどをしていますが、
日々面白くてクリエイティブなものを作り出す為に試行錯誤してお仕事しています。
※たまに頭から煙が出ているので要注意
ファンネームは動画の勢いで「さゆりーず」に決まりました(小声)
効果音:OtoLogic様